วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แก้วมังกร

แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่นำพันธุ์มาจากประเทศเวียดนาม คนเวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง กัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อสามัญว่า Dragon fruit ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. & Rose. ถิ่นกำเนินของแก้วมังกรอยู่ในทวีปอเมิรกากลาง แถบหมู่เกาะเวสต์อินดีส โคลอมเบีย กัวเตมาลา และเวเนซูเอล่า สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์นี้มาจากอเมริการกลางมาปลูกในเวียดนามเป็นระยะเวาลาไม่น้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ที่เวียดนามปลูกันมากจนชาวเวียดนามถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น มีการปลูกเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตามสภาพดินที่มีอยู บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์
ส่วนในเมืองไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรราแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจ
แก้วมังกรเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร ลำต้นเป็นแฉก 3 แฉก คล้ายครับมังกร มีหนามเป็นกระจุกอยู่ที่ตา 4-5 หนาม ลำต้นเดียว แผ่ก้านออกไปรอบ ๆ ต้องมีค้างคอยพยุง ดอกสีขาว เป็นรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ มีกลีบยาวเรียวทับซ้อนกัน บานในเวลากลางคือ จึงมีชื่อเรียกว่า moonflower หรือ lady ot the night หรือ queen of the night ผลแก้วมังกรเมื่อดิบผิวเปลือกเป็นสีเขยว รูปทรงกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 6-10 ซม. มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือกผล เมื่อสุกผิวเปลือกเปลี่ยนเปนสีแดงอมชมพู เนื้อในมีทั้งสีแดงและสีขาวขุ่น มีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้ายเมล็ดแมงลักกระจายทั่วทั้งผล ปลูกได้ทุกภาคทั่วประเทศ แต่แหล่งที่มีการปลูกมากอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรีและสมุทรสงคราม แก้วมังกรมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้
แก้วมังกรพันธุเนื้อขาวเปลือกแดง ผลทรงกลมรีผิวเปลือกสีชมพูสด มีกลีบสีเขียวตามผิวเปลือก เนื้อสีขาวมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ในเนื้อ รสชาติหวานนิด ๆ อมเปรี้ยวหน่อย ๆ บางผลก็หวานจัด แล้วแต่ลูก
แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง ผลเป็นรูปไข่ ขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ เปลือกหนาสีเหลือง เนื้อสีขาว เมล็ดสีดำมีขนาดใหญ่และปริมาณน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ รสชาติหวาน
แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง เป็นพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาใหม่จากไต้หวัน ผลเป็นทรงกลม เปลือกสีแดงจัด ผลขนาดเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง เนื้อสีแดงจัด มีเมล็ดสีดำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว รสชาติหวานกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
แก้วมังกรในประเทศไทยมีผลดกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษศจิกายน แต่ก็มีผลประปรายตลอดทั้งปี
แก้วมังกรนั้นมักกินเป็นผลไม้สด หรือกินรวมกับผลไม้อื่นเป็นฟรุตสลัด หรือนำไปปั่นเป็นน้ำแก้วมังกร เพราะเนื้อเยอะฉ่ำน้ำ รสหวานอ่อน ๆ อมเปรี้ยวนิด ๆ ส่วนแก้วมังกรแดงรสจะหวานจัดกว่าเล็กน้อย
สรรพคุณคุณค่าทางอาหาร
แก้วมังกร มีสารอาหารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และมีเส้นใย มีสรรพคุณช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก แก้ท้องผูก ป้องกันมะเร็งสำไส้ใหญ่และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
แหล่งผลิตและจำหน่ายแก้วมังกรจังหวัดพิจิตร
สวนสายคำธร ติดต่อเจ้าของ คุณทวี สายคำธร
8 หมู่ 5 ตำบลตระกรุไร อำเภอชนแดน จังหวัดพิจิตร
โทร.083-1651457
ช่วงระยะเวลาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ตั้งแต่เดือน มิถุนายน -ตุลาคม ทุกปี

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ชวนชม หรือ ลั่นทมยะวา

ชวนชมหรือลั่นทมยะวาเป็นพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงามสะดุดตา มีรูปทรงของต้นและกิ่งก้านที่สวยงามและอ่อนช้อย นุ่มนวล เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งจนได้รับสมญาว่า "กุหลาบทะเลทราย" นอกจากนี้ชวนชมยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะ เป็นศิริมงคลตามความเชื่อของคนไทย แม้แต่ชาวจีนซึ่งเรียกชวนชมว่า "ปู้กุ้ยฮวย" หรือ "ดอกไม้แห่งความร่ำรวย" ก็ยังมีความหมายไปในทางศิริมงคลอีกด้วย
ชวนชมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกา แถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ราวปี พ.ศ. 2305 แต่กลุ่มนักพฤษศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าไม้ดอกที่พบเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ และในราวปี พ.ศ. 2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ (Josef August Schultes) นักพฤษศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทม จนเป็นที่ยอมรับว่าชวนชมคือดอกไม้ชนิดใหม่
สำหรับในประเทศไทย ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้นำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงตั้งแต่เมื่อใด แต่จากหลักฐานพอสันนิษฐานได้ว่า มีการนำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 70 ปีแล้ว โดยผ่านทางราชสำนัก หลังการเสด็จประพาสต่างประเทศ เพราะมีการพบเห็นชวนชมปลูกอยู่ในเขตพระราชวังและวังเจ้านายทั่วไป จากการสืบค้นของอาจารย์วิชัย อภัยสุวรรณ (ผู้เขียนหนังสือ "ไม้ดอกและประวัติไม้ดอกเมืองไทย") ทราบว่า อย่างน้อยที่สุด คนไทยรู้จักเล่นชวนชมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 โดยพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้ทรงนำพันธุ์ชวนชมเข้าไปปลูกในพระตำหนักลักษมีวิลาศ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าทรงนำต้นชวนชมมาจากแหล่งใด แต่ที่ปรากฏแน่ชัดคือ พระองค์ประทานชื่อดอกไม้นี้ว่า "ชวนชม"
การปลูกเลี้ยงชวนชมในอดีตส่วนใหญ่ปลูกเพื่อชื่นชมดอกเพียงอย่างเดียว ต่อมามีชวนชมพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสายพันธุ์ทางฮอลแลนด์ซึ่งมีโขดเป็นจุดเด่นและมีลักษณะสวยงาม (โขด คือส่วนหนึ่งของรากที่สะสมอาหาร เมื่อชวนชมอายุได้ขนาดต้องหมั่นเปลี่ยนกระถาง เพื่อเพิ่มพื้นทีให้โขดได้เจริญเติบโต) โขดยิ่งมีขนาดใหญ่สัดส่วนสวยงามจะมีราคาแพง
การเลี้ยงโขด
อดีตนิยมปลูกเพื่อให้มีดอกไว้ชื่นชม ปัจจุบันนิยมให้มีโขดใหญ่ สัดส่วนสวยงามเนื่องจาก ชวนชมสายพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศโดยเฉพาะสายพันธุ์ฮอลแลนด์จะมีโขดเป็นจุดเด่น โขดเป็นส่วนหนึ่งของรากใช้สะสมอาหาร การให้โขดใหญ่จำเป็นต้องหมั่นเปลี่ยนกระถางเมื่อชวนชมมีอายุได้ขนาด เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้โขดเจริญเติบโต
การปลูกเลี้ยง
เหมาะกับดินโปร่งร่วนซุย ผู้ปลูกเลี้ยงส่วนใหญ่จึงนิยมเติมวัสดุปรุงดิน เช่น ใบก้ามปู กาบมะพร้าวสับ เปลือกถั่วลิสง แกลบดิน และทรายหยาบเพิ่มลงไปในดินเพื่อให้มีความร่วนซุย การให้น้ำไม่ต้องมากเพราะมีลำต้นอุ่มน้ำ จึงทนต่อสภาพแห้งแล้ง และเป็นพืชที่ไม่ต้องการปุ๋ยมาก
ดินปลูก ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ควรเป็นดินโปร่งร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ซึ่งสามารถใช้วัสดุเหลือจากการเกษตรที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่นมาผสมเป็นดินปลูกดังนี้
1.หน้าดินผสมกับมะพร้าวสับและปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1: 2 : 1 ในส่วนของมะพร้าวสับถ้าเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก เราจะใช้มะพร้าวสับชิ้นเล็กแต่ถ้าต้นขนาดใหญ่ต้องใช้มะพร้าวสับที่ชิ้นใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ชิ้นเล็กจะย่อยสลายเร็ว และทำให้ดินแน่น การให้น้ำก็ให้เป็นปกติวันละครั้งไม่ให้น้ำจนน้ำแฉะมาก เพราะจะทำให้รากเน่า
2.ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกใบก้ามปูและกาบมะพร้าวสับ อัตราส่วน 1:1:2:4 ผสมให้เข้ากันสามารถใช้กับชวนชมได้ทุกขนาด
น้ำ ที่ควรใช้ควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรลดดอกเพราะจะทำให้กลีบดอกช้ำ และร่วงเร็ว ผู้ปลูกควรสังเกตการให้น้ำดังนี้
3. สภาพของต้นชวนชมถ้าขาดน้ำใบจะเหี่ยวขอบใบไหม้และร่วง ดอกมีอายุการบานสั้นและร่วงเร็วถ้าได้รับน้ำมากเกินไป รากจะเน่า โคนนิ่มทำให้ต้นเหี่ยวทั้งต้น
4. เครื่องปลูกควรปรับปรุงดินให้โปร่งด้วยกาบมะพร้าวสับหรือแกลบ เมื่อผิวดินแตกเป็นเกล็ดให้ลดน้ำจนน้ำซึมออกมาจากก้นกระถาง
5. สภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาวควรลดน้ำช่วงเช้าวันละครั้งตามปกติ แต่ในฤดูฝนควรเว้นช่วงตามความเหมาะสม การลดน้ำช่วงเช้าโดยให้น้ำละเหยก่อนถึงเย็นช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่ระบาดในสภาพความชื้นสูง แสงแดด ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ชอบแดด 100% อยู่แล้ว เพราะเป็นไม้เขตร้อน แต่ถ้าจะให้ดีช่วงที่เป็นต้นเล็กๆควรไว้ที่ร่มก่อนแล้วค่อยเอาออกแดดหรือในที่โล่งแจ้ง
ปุ๋ย ชวนชมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น นิยมใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าการให้ปุ๋ยช่วงแรกเมื่อต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยที่มีสูตร ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร15-5-5 หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 2 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนจึงเริ่มมีใบสีเขียว พร้อมที่จะออกดอกใช้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 6-24-24 ทุกๆ 2 สัปดาห์ประมาณ 45 วัน จะออดดอกชุดแรก หลังจากนั้นบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 1 เดือนต่อครั้ง และให้ธาตุอาหารเสริม เช่น minerass ที่มีธาตุโบรอน (B),แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),สังกะสี (Zn),ทองแดง ( Cu),และโมลิบดีนัม (Mo)ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ชวนชมทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การเสียบกิ่ง ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นต้น ต้นพืชที่ได้จะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการเป็นการขยายพันธุ์ที่มีวัตถุประสงค์เชิงการค้า ส่วนอีกวิธีคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการผสมเกสร ลูกผสมที่ได้จะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงในด้านรูปทรง ใบ ดอก และสี ที่แตกต่างจากต้นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ เป็นการสร้างลูกผสมใหม่ออกมาเพื่อคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีตามความต้องการของผู้ปลูกเลี้ยง
โรคและแมลงศัตรู
ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดี ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุด ป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดง จะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน

สนใจกิ่งพันธุ์ชวนชมติดต่อได้ที่
คุณสมาน แก้วเหม เลขที่ 112 หมู่ 9 บ้านวังมะด่าน ตำบลวงฆ้อง
อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โทร.082-4027739
ราคากิ่งพันธุ์ ต้นละ 30 บาท มีจำหน่ายจำนวนมาก อายุต้นตั้งแต่ 6-12 เดือน