วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

เจ๊ดา คนรักแผ่นดิน เกิดเป็นคนต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน

นางกิ่งกนก แสงสว่าง อายุ 45 ปี ปัจจุบัน อยู่บ้านเลขที่ 73/8 ถนนแสนพลพ่าย ติดกับโรงเรียนศรีวิสุทธิ์ธาราม ปัจจุบันเปิดเป็นโรงทานเพื่อให้ทานแก่คนยากไร้ในจังหวัดพิษณุโลก โดยเริ่มจัดตั้งเป็นโรงทานมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2547 โดยการให้ทานได้แก่ การแจกข้าวสารอาหารแห้ง ผักต่างๆ เสื้อผ้า รองเท้า ไอศกรีม ในการจัดงานในวันพ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ และตลอดเทศกาลกินเจของทุกปี โดยมีการทำอาหารเจเลี้ยงคนยากไร้ตลอด 9 วันซึ่งจัดทำมาตลอดแล้ว 5 ปี โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำทานมาจากลูกศิษย์ที่เคารพนับถือนำมาบริจาค และคนที่อยากร่วมทำบุญ ทั้งใน และต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการแจกผักสดทุกอาทิตย์ สำหรับประวัติส่วนตัว เดิมเป็นคนตำบล พันชาลี อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีพี่น้องร่วมท้อง 5 คน เป็นบุตรของนายบุญลือ-นางเฮียง แสงสว่าง จากวัยเด็กมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นทหาร เป็นคนที่มีจิตใจดี พอเติมโตก็ได้รับราชการทหารพราน ในหน่วยรบพิเศษ ตระเวรชายแดน จากการที่เป็นทหารเหมือนกับการต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย บ่อยครั้งที่กระสุนเฉียดร่างกาย ต่อมาพ่อกับแม่ทราบเรื่องจากการที่ต้องเสี่ยงชีวิต จึงขอให้ลาออกจากการรับราชการทหาร เนื่องจากไม่อยากไม่ให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ แต่ก็ได้จุดประกายความคิดขึ้นมาว่า อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถึงแม้จะไม่ได้รับใช้ชาติแล้ว หลังจากที่ลาออกจากการเป็นทหารแล้ว คุณแม่ก็ล้มป่วยทำให้ต้องดูแลคุณแม่ตลอดระยะเวลา 7 ปี ในตอนนั้นอายุ 25 ปีเศษ ต่อมาก็ได้แต่งงานกับนายตำรวจ ฐานะจัดว่าค่อนข้างร่ำรวย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่เมื่อมองลงไป เห็นคนยากคนจน ก็อยากช่วยเหลือจึงเริ่มเปิดให้ทานครั้งแรกในปี 2540 โดยนำเงินส่วนตัวมาซื่ออาหารเลี้ยงคนยากไร้ในจังหวัดพิษณุโลก จากการที่ให้ทานนั้น ทำให้มีความสุข โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 12 ปีอยู่กับการให้มาตลอด เคยขายบ้านขายรถยนต์ส่วนตัวเป็นมูลค่ากว่า 9 ล้านเศษ มาทำทาน ปัจจุบันก็เช่าบ้านอยู่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ อยู่คนเดียวหลังจากที่อย่าขาดจากสามี โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่สามารถสัมผัสเกี่ยวกับภูตผีต่างๆ ได้ตั้งแต่อายุ เพียง 10 ขวบ นั่งสมาธิและสวดมนต์ทุกวัน ทำบุญใส่บาตรทุกวัน จนสัมผัสได้กับเทพองค์ต่างๆ สำหรับจุดประสงค์ที่ทำการเปิดโรงทานแห่งนี้ก็เพื่ออยากช่วยเหลือสังคม และถวายองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน ให้กุศลผลบุญที่ทำไปแก่พี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเราน่าอยู่ แต่ยังขาดทุนทรัพย์ในการทำบุญอีกมาก จึงอยากวิงวอนทุกท่านที่อยากร่วมทำบุญ มาช่วยกันตามกำลังศรัทธา

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติพระแม่กาลี

เจ้าแม่กาลี: เทวีผู้ปราบกาลียุคความเชื่อและศรัทธาที่ชาวฮินดูมีต่อเทพเจ้านั้นหนักแน่นและมั่นคงนับแต่อด ีตตราบจนปัจจุบัน โดยชาวฮินดูเชื่อว่าโลกนี้ดำเนินไปได้ด้วยอำนาจของตรีมูรติ คือเทพเจ้าทั้งสามองค์อันได้แก่ พระพรหมผู้สร้าง พระวิษณุผู้รักษา และพระศิวะผู้ทำลาย นอกจากเทพทั้งสามที่ชาวฮินดูนับถือแล้วยังมีเทวีปรากฏขึ้นในฐานะชายาของเท พเหล่านี้ ได้แก่ เทวีสรัสวดีชายาของพระพรหม เทวีลักษมีชายาของวิษณุเทพ และเทวีปารวตีชายาของศิวเทพ เทวีทั้งสามนี้มีฤทธานุภาพใกล้เคียงกับเทพเจ้าเลยทีเดียวในครั้งนี้จะขอแนะนำให้ท่านผู้ฟังได้รู้จักกับอวตารปางหนึ่งของชายาพระศิว ะ ซึ่งมีผู้นับถือกันอย่างมากโดยเฉพาะในกัลกัตตาอดีตเมืองท่าของอินเดียนั่น คือ เจ้าแม่กาลี โดยปกติแล้วชายาของพระศิวะมีพระนามที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นของผู้นับถื อ เช่น ปารวตี อุมาเทวี และเจ้าแม่กาลี เป็นต้น เจ้าแม่กาลีเป็นอวตารปางหนึ่งของชายาพระศิวะที่มีผู้นับถือเป็นอย่างมากใน เมืองกัลกัตตา ในเมืองนี้มีวัดเจ้าแม่กาลีอยู่บริเวณ “กาลีฆัต” ซึ่งแปลว่าท่าไปสู่ที่เจ้าแม่กาลี ภายในโบสถ์มีรูปเจ้าแม่กาลีประดิษฐานอยู่ วัดนี้ถือเป็นศูนย์รวมใจของชาวเบงกอลที่นับถือศาสนาฮินดูอย่างแท้จริง ด้วยความศรัทธาที่ชาวฮินดูในกัลกัตตามีต่อเจ้าแม่กาลีจึงทำให้เกิดเทศกาลบ ูชาเจ้าแม่กาลีขึ้นในราวเดือนตุลาคมของทุกปี ในวันงานมีการจัดซุ้มต่างๆเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลี มีการแสดงนิทรรศการแสงสี เสียง ในวันนั้นมีเสียงสวดมนต์ดังไปทั่วทั้งเมือง ช่วงกลางคืนประชาชนก็จะแต่งตัวสวยงามออกจากบ้านเพื่อไปบูชาเจ้าแม่กาลีในซ ุ้มที่มีรูปเจ้าแม่กาลีปางปราบอสูรประดิษฐานอยู่ โดยรูปปั้นของพระนาง อยู่ในท่ายืนยกขาขึ้นข้างหนึ่งแลบลิ้นที่เปื้อนเลือด มี 10 เศียร 10 พระกร 10 พระบาท มีศีรษะมารห้อยคอต่างพวงมาลัยและมีนิ้วมือมารประดับไว้รอบเอวเหตุที่ประชา ชนให้ความเคารพศรัทธาเจ้าแม่กาลีก็เนื่องมาจากพระนางเป็นเทวีผู้ปราบอสูรแ ละนำความสงบมาสู่โลก ตามตำนานกล่าวไว้ว่าครั้งหนึ่งพวกอสูรได้รับพรวิเศษจาก พระพรหม คือ ให้เป็นอมตะ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ด้วยความหลงอำนาจพวกอสูรจึงระรานและเกี้ยวพาเหล่านางฟ้าอย่างไม่เกรงใจเหล ่าเทวดาจนทำให้เหล่าเทวดาเดือดร้อนและได้นำเรื่องนี้ไปร้องเรียนพระพรหม พระพรหมจึงมีบัญชาให้พระศิวะผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการทำลายเป็นผู้ไปกำราบเหล ่าอสูร แต่พระชายาของพระศิวะเป็นผู้อาสาปราบเหล่าอสูรในครั้งนี้แทน โดยชายาของศิวเทพได้อวตารเป็นเจ้าแม่กาลีและได้ทำสงครามกับเหล่าอสูรเป็นเ วลานานเพราะในขณะสู้รบกันนั้นถ้าเลือดของอสูรหยดลงพื้นดินเพียงหยดเดียวก็ จะเกิดอสูรขึ้นหนึ่งตน ดังนั้นพระนางจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้เลือดของอสูรที่เกิดจากการสู้รบไม่ตกลงสู่พื้น ในที่สุดพระนางจึงตัดสินใจแลบลิ้นของตนรับเลือดเหล่าอสูรตลอดระยะเวลาที่พ ระนางทำสงครามกับเหล่าอสูรนั้น และด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้พระนางสามารถปราบอสูรได้สำเร็จจากตำนานที่กล่าวมานี้จึงทำให้ชายาพระศิวะในอวตารของเจ้าแม่กาลีแลบลิ้นที ่เปื้อนเลือดมีศีรษะมารห้อยคอต่างพวงมาลัยและมีนิ้วมือมารประดับไว้รอบเอว ซึ่งก็คือเลือด ศีรษะ และนิ้วมือของเหล่าอสูรที่กล่าวไว้ในตำนานนั่นเอง นอกจากรูปของเจ้าแม่กาลีที่เกิดขึ้นจากตำนานแล้ว การบูชาเจ้าแม่กาลีด้วยเลือดสดๆก็เกิดขึ้นจากตำนานนี้เช่นกัน นั่นคือหลังจากที่เจ้าแม่กาลีปราบอสูรได้แล้วประชาชนก็จัดงานฉลองเพื่อเป็ นการรำลึกถึงพระคุณของพระนางโดยในการเซ่นบวงสรวงโดยนำเลือดสดๆไปบูชา กล่าวกันว่าในยุคแรกๆมีการนำหญิงพรหมจารีไปทำพลีกรรมโดยนำเลือด บริสุทธิ์ในลำคอไปบูชาเจ้าแม่กาลี แต่เมื่อเวลาล่วงไปถึงช่วงที่อังกฤษเข้าปกครองอินเดียได้สั่งห้ามไม่ให้นำ มนุษย์มาใช้ในการบูชา จึงทำให้การบูชาเจ้าแม่กาลีในปัจจุบันนี้เหลือเพียงการนำแพะมาใช้ในการบูช าแทน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะได้กลิ่นคาวของเลือดแพะแทนที่กลิ่นหอม ของธูปและดอกไม้เมื่อเข้าไปในวัดที่มีการบูชาเจ้าแม่กาลีการทำลายชีวิตหนึ่งเพื่อแสดงความศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจจะดูไม่ถูกต้ องนักในสายตาของหลายๆท่านที่ได้รับฟังเรื่องราวนี้ แต่มีอีกสิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือความเชื่อและความศรัทธาที่ชาวฮินดูมีต่ อเทพเจ้าทั้งหลายของพวกเขา รวมถึงความเชื่อในเรื่องอีกหลายๆเรื่องที่เรานึกไม่ถึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำ ให้กระแสของวัฒนธรรมตะวันตกไม่สามารถเข้าไปแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมของชาวฮิ นดูได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการที่วัฒนธรรมตะวันตกกำลังแทรกซึมอยู่ในประเ ทศทางตะวันออกอีกหลายๆประเทศ

ประวัติพระศิวะ

การสร้างสากลจักรวาลในรูปแบบของพรหม และผู้พิทักษ์รักษาในรูปแบบของพระวิษณุ พระเป็นเจ้าผู้สูงสุดนั้นก็คือพระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง พระองค์คือ อำนาจและพระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นด้วยเหมือนกันว่า “ข้าฯ” เป็นผู้หญิง และ “ข้าฯ” ก็เป็นผู้ชายด้วยเหมือนกัน จากชิ้นฝุ่นธุลีไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัว เล็ก ๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด ในพระคัมภีร์อุปนิษัท (คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์) การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า “ศิโวมฺสวห (ข้าคือศิวะ) อันนี้หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุก ๆ คน ควรพิจารณาถึงตัวเขาเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะ แล้วความรู้สึกพยาบาทปองร้าย ความอิจฉาริษยา เป็นต้น ก็จะหายไป และแล้วบุคคลผู้นั้นจะเข้าถึงความสุขความสงบ
แม้มันจะเป็นการลำบากมากที่จะเข้าใจความจริงของพระศิวะ แต่ถึงอย่างนั้น การแต่งกายของพระองค์ และแขนขาต่าง ๆ พยายามที่จะชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนและง่ายดายถึงความหมายทางปรัชญาของพระองค์ ดังต่อไปนี้สีขาว

สีของพระศิวะคือสีขาว สีขาวเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ และศรัทธาแก่กล้า อันนี้แสดงให้เห็นว่า พระศิวะเป็นพระเป็นเจ้าอันสูงสุดแห่งความสงบและศรัทธา โดยการบูชาพระองค์ เราสามารถเข้าถึงความสงบ และโดยการท่องนามของพระองค์ เรากลับเป็นผู้มีศรัทธาแก่กล้าจากภายในตัวเราเองดวงจันทร์บนพระพักตร์ดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งฐานรากของน้ำอมฤต น้ำอมฤตทำลายผลของยาพิษ ฉะนั้น ดวงจันทร์บนพระพักตร์ของพระศิวะ สอนให้เรารู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เรามีความคิดอันเป็นพิษอยู่ในใจของเรา เราควรจะระลึกนึกถึงรากฐานของน้ำอมฤต คือพระศิวะ ดังนั้น ความคิดที่เป็นพิษก็จะหายไปด้วยน้ำอมฤต เราควรทำให้สมองของเราเย็นอยู่เสมอ และไม่ควรทำมันให้ตื่นเต้นหรือเร่าร้อนดวงตาสามดวงในภควันคีตา พระกฤษณะ ทรงกล่าวแก่ท่านอรชุนว่า เธอไม่สามารถเห็นฉันกับด้วยดวงตาธรรมดาได้ ฉะนั้น ฉันจะให้ดวงตาพระเป็นเจ้าแก่เธอ แล้วเธอจึงสามารถเห็นฉันได้ ดวงตาของพระศิวะมีสามดวง สอนให้เรารู้ว่า แม้เราเห็นสิ่งของทางโลกด้วยดวงตาสองดวงของเรา และมองดูทิวทัศน์ต่าง ๆ ได้ แต่ถึงอย่างนั้น การที่จะเห็นพระเป็นเจ้าภายในตัวเรา เราจำเป็นที่จะต้องได้ความรู้อันบริสุทธิ์ และมีศรัทธามั่นไม่หวั่นไหว กล่าวคือ ดวงตามที่สามซึ่งมีคุณสมบัติเหล่านี้ ดังนั้นเราจึงสามารถรู้แจ้งเห็นพระเป็นเจ้าได้ บุคคลควรระลึกนึกถึงไว้ด้วยเหมือนกันว่า เว้นเสียแต่ว่าเรากำจัดความอยากได้ทางโลกเสียเท่านั้น มิฉะนั้น เราไม่สามารถเห็นพระรามได้ ท่านตุลสีทาส กวีผู้มีชื่อเสียงได้เขียนไว้ด้วยเหมือนกันว่า“ชหนฺ ราม ตหนฺ กาม น หิน ชหนฺ กาม น หิน ตหนฺ ราม”ความหมายก็คือว่า พระรามอยู่ทิศไหน ความไม่อยากได้ย่อมอยู่ทิศนั้น ความอยากได้อยู่ที่ไหน พระรามไม่อยู่ที่นั้นกาม คือความอยากได้ กิเลศ ตัณหา กามารมณ์ ฉะนั้น เราชอบท่านสังกราจารย์ด้วยเหมือนกัน เราควรเปิดดวงตาที่สามของความรู้ของเรา และฝังความอยากได้ ความใคร่ ความอยากทางกามารมณ์เสียให้สิ้นแล้วเพียงเท่านั้น เราสามารถเห็นภัควันรามได้พระศอสีน้ำเงินพระศิวะมีพระศอเป็นสีน้ำเงิน ฉะนั้น พระองค์จึงได้นามว่า “นิลกัณฐ์” (มีพระศอเป็นสีน้ำเงิน)

เหตุผลที่พระศอของพระศิวะเป็นสีน้ำเงิน ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของพระศิวะ เมื่อมหาสมุทรพิโรธ มีทั้งน้ำอมฤตและยาพิษอยู่ในมหาสมุทร เพื่อที่จะทำให้เป็นนักบุญและประชาชนปลอดภัย และเพื่อรับใช้มนุษยชาติ พระศิวะทรงเสวยยาพิษทั้งหมด ยาพิษนั้นไม่ได้ทำลายพระองค์ แต่พระศอของพระองค์เท่านั้นที่กลับเป็นสีน้ำเงินอันนี้สอนให้เรารู้ว่า บุคคลผู้ซึ่งพร้อมที่จะช่วยเหลือชุมชน สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้า (เขา) จำเป็นเขาก็จะต้องดื่มยาพิษ เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ๆแม่น้ำคงคาอยู่ในพระเศียรของพระศิวะท่านภคิรัฐ เป็นผู้ภักดีอันยิ่งของพระศิวะคนหนึ่ง เพราะความศรัทธาและความภักดีอันแรงกล้าของเขา แม่น้ำคงคาได้พักอยู่ในพระเศียรของพระศิวะ อันนี้สอนให้เรารู้ว่า ในการที่จะทำให้พระศิวะทรงพอพระทัยนั้น การบูชาและความภักดีอันบริสุทธิ์ เช่น ท่านภคิรัฐย่อมไม่สูญเสียเปล่า และแน่นอนมันย่อมให้ผลของมัน ท่านตุลสีทาส พิจารณาเห็นแม่น้ำคงคาอันมีศรัทธาแรงกล้านี้เป็นเรื่องราวของพระราม เพราะแม่น้ำคงคาในเรื่องพระรามนั้น ถูกพิจารณาว่า พักอยู่ในพระเศียรของพระศิวะ สายสร้อยเพชรงู (งู)จริง ๆ แล้วที่ร่างกายของคนทุก ๆ คน มีงูที่มีชีพอยู่ในรูปของอายตนะ ซึ่งทำให้บุคคลตื่นเต้นเพื่อความสุขสบายทางโลกอยู่เสมอ แต่ภัควันศิวะทรงซ่อนพระรามไว้ในพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น งูแห่งอายตนะทางโลกจะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อพระองค์ งูที่พระกัณฐ์ของพระองค์ สอนให้เรารู้ว่า เราควรมีสติระมัดระวังงูแห่งความอยากได้ทางโลก และทำให้ตัวเราเองยิ่งใหญ่ ซึ่งพิษของงูเหล่านั้นไม่สามารถกระทบกระทั่งเราได้กำไลที่พระเศียรของพระศิวะกำไลที่พระศิวะสวมใส่พระเศียรนั้น เตือนให้เรารู้ว่า ร่างกายของเรานั้น ย่อมต้องแตกสลาย (ไม่วันใดก็วันหนึ่ง) และความตายนั้นเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน นี้คือกฎเกณฑ์ของพระเป็นเจ้า ครั้งหนึ่งพระศิวะเองทรงตรัสแก่พระนางปารวตีว่าเมื่อใดก็ตาม บุคคล……….(พรหมันท) ถูกทำลายลงไป ฉันจะเพิ่มหัวมากกว่าหนึ่งหัวเข้าไปในกำไล อันนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พระศิวะ เป็นพระเป็นเจ้าผู้สูงสุดตรีศูล (เส้นเหล็กกับสัญลักษณ์รูป W อยู่ข้างบน)ตรีศูล แสดงให้เราเห็นว่า พระศิวะเป็นผู้ควบคุมที่สูงสุดของคุณสมบัติของธรรมทั้งสาม และกับด้วยตรีศูลเท่านั้น…………………ทามรู (กลองล็ก)ในคัมภีร์อุปนิษัท (คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์) “ทาม” หมายถึงตัวแทนพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้น เสียงของทามรู บอกให้เรารู้ว่า พระศิวะทรงประทับอยู่ทุกหนทุกแห่ง และไม่มีใครสามารถทำลายได้เช่นเดียวกับอำนาจของโลก ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของทามรูบอกเราให้ทราบว่า “พระเป็นเจ้าเป็นสัจจริง โลกไม่จริง” กล่าวคือ “อุมา กหูน ไม อนุภว อปน สัตย ฮารี ภาชัน ชศต สป สปน” หมายความว่า พระศิวะตรัสแก่พระนางอุมาว่า ตามที่พระองค์เองได้ประสบการณ์มา สัจธรรมย่อมอยู่ในการร้องสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์เพียงอย่างเดียวและโลกทั้งมวลเพียงเหมือนกับความฝันที่ประทับบนหนังสิงโตการที่พระศิวะทรงประทับนั่งบนหนังสิงโต มีเบื้องหลังทางวิทยาการอยู่ ถ้าบุคคลนั่งอยู่บนหนังสิงโต ความอยากได้ของกามคุณ และความโลภจัดก็จะหายไป ฉะนั้น พวกโยคีส่วนมาก ย่อมชอบนั่งสมาธิบนหนังสิงโต อันนี้เพื่อรักษาใจของเขาให้อยู่ในความสงบ และพวกเขาจะไม่ได้รับความยุ่งยากลำบากในกามคุณหรือความโลภจัด บุคคลทั้งหลาย ผู้มีครอบครัว และมีหน้าที่การงานทางโลก จะสวดอ้อนวอนนั่งอยู่บนหนังกวาง เพราะอันนี้ทำให้สมองของเขาแจ่มใส และทำให้ความจำแหลมคมโคเป็นพาหนะพระศิวะ ทรงใช้โคเป็นพาหนะของพระองค์ โคได้นามว่า พฤษภ ในภาษาสันสกฤต พฤษภ หมายถึง ธรรมะ ธรรมะมีกฎที่เป็นพื้นฐานสี่กฎ คือ สัจจะ ความเมตตา การบูชา และทาน พระศิวะแม้พระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลาย พระองค์ก็ทรงประทับนั่งบนธรรมะเสมอ และช่วยเหลือคนทุก ๆ คนศิวลิงค์ของพระศิวะ (หินกลมขาว)ลิงค์ หรือ ลิงคะ หมายถึง สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตสามารถจมลงในสิ่ง ๆ นั้น ท้องฟ้ากลมเหมือนกับโลก ฉะนั้น ลิงคะกลม ๆ เป็นสัญลักษณ์ของโลกด้วยเหมือนกัน ในโลกนั้นนักบุญ อำนาจ และสิ่งมีชีวิตทั้งมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นโดยการบูชาลิงคะของพระศิวะ บุคคลควรบูชานักบุญทั้งหมดและบูชาอำนาจทั้งหมดโดยทางอ้อมข้อสังเกต : ทางด้านขวาของศิวลิงคะ มีรูปภาพเขียนไว้ “คงคาวัตวัน” ในรูปภาพนี้ทางด้านขวา คือภคิรัฐ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ทำพลีกรรมตัวของเขาเอง เพื่อเป็นการยกระดับของประชาชน และเขาที่แสดงในภาพนั้น ในท่าของการบูชาพระศิวะ เพื่อทำให้แม่คงคาคงอยู่ในระดับปกติ ทางด้านซ้าย มีนานทิคัน และพระนางปารวตี ข้างล่างรูปภาพ การสวดต่อ ๆ กันไปที่ได้เขียนไว้ โดยการท่องอย่างเดียวกัน จุดประสงค์ทั้งหมดย่อมจะสมบูรณ์ได้นมมิศโม ศาน นิรวาน รูปมฺ วิภู อม วยปกมฺ เวท พรหมสวรูปมฺ นิชมฺ นิรคุณมฺ นิรวิลกปมฺ นิรหม จิทกศมกศฺวสม ภเชหมความหมายก็คือว่า โอ พระเป็นเจ้าแห่งความหลุดพ้น ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเป็นเจ้า เจ้าของพระเวท และพระเป็นเจ้าของพระเจ้าทั้งหลาย พระศรีศิวะ ข้าฯ ขอนอบน้อมเบื้องหน้าพระองค์โอ พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงอิสระจากความหลอกลวงใด ๆ พระองค์ทรงอยู่ในรูปแบบอันแท้จริงของพระองค์เสมอ พระองค์ไม่ได้แยกแยะในระว่างบุคคลใด ๆ พระองค์ไม่มีความอยากได้ใด ๆ พระองค์เป็นท้องฟ้าและพระองค์เป็นดิน ท้องฟ้าคือเครื่องทรงของพระองค์ โอ พระศิวะ ข้าฯ ร้องเพลงสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์นิรกโรโมกร มูลนฺ ตุริยมฺ กิร คยาน โคติตมิศมฺ คิริศมฺกรลมฺ มหากาล กลม กริปลม คุณหาร สนฺสาร ปรมฺ นโตสหมฺความหมายก็คือ โอ พระองค์ผู้ไร้รูป เป็นจิตวิญญาณ เป็นฐานของโอมนฺกร อยู่เหนือคุณทั้งสามอย่างมาก อยู่เหนือคำพูด ความรู้ และอายตนะ เป็นฉายาของยมะ เต็มไปด้วยความเมตตา เต็มไปด้วยคุณสมบัติดีทั้งหมด โอ พระองค์มากยิ่งกว่าโลก ข้าฯ ขอน้อมเบื้องหน้าพระองค์ตุษรทริ สนฺกาศ เคารมฺ คมฺภีรมฺมโนภูต โกติ ปรภา ศรี ศรีรมฺสฬรูนเมาโล กาลโลลินี จรุคนฺคลสฺทูภาล พาเลนทุ กณฺเ ภชุนคความหมายก็คือ บุคคลผู้ภาคภูมิและเคร่งขรึมเหมือนภูเขาหิมาลัย ร่างกายของบุคคลผู้นั้นสว่างไสว และรุ่งโรจน์ของเทพเจ้าแห่งความรัก ร่างกายของเขาผู้นั้นปรากฏเป็นแม่น้ำคงคาอันสวยงาม และหน้าผากของเขาผู้นั้นคือดวงจันทร์ และที่คอของผู้นั้นคือ งูจลตฺกุนทลมฺ ภรูสุเนตรมฺ วิศลมฺปรสนานม นิลกณมฺ ทยาลมฺมฤคทฺธีศ จารมมฺพรมฺ มุนทมาลมฺปรียมฺ สหนกรมฺ สรว นาถมฺ ภชมิความหมายก็คือว่า ในหูของบุคคลเหล่านี้ มีต่างหูอันสวยงาม มีอยู่ ดวงตาซึ่งโตและสวยงามก็มีอยู่ บุคคลผู้มีหน้าตาเบิกบาน คอเป็นสีน้ำเงิน และผู้มีความเมตตามาก บุคคลผู้สวมชุดของหนังของสิงโต และสรวมสายสร้อยของหัวคนทั้งหลาย ท่านรักคนทุกคน และท่านเป็นเจ้าของคนทุกคน และโอ เป็นผู้หวังดีต่อคนทุกคน ข้าฯ ขอบูชาแด่พระองค์ปรจนฺทมฺ ปรกฤศตมฺ ปรคลฺลมฺภ ปเรศมฺอขณฺทมฺ อนฺชมฺ ภาณุ โกติ ปรกาศมฺทรย ศูล นิรมูลนมฺ ศูล ปณิมภเชสนมฺ ภวนิ ปติมฺ ภาวกมฺยมฺความหมายก็คือว่า โอ พระศิวะ ผู้ยิ่งใหญ่ พระเป็นเจ้าผู้สูงสุด หาขอบเขตมิได้ ไร้ความเกิด แสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์พันดวง บุคคลผู้ถอดเวลาอันไม่เป็นมงคลทั้งหมดสามเวลาออกจากรากของมันทั้งหมด บุคคลผู้ถือหอกและบุคคลผู้ที่เราสามารถเข้าถึงโดยความรัก สามีของภควานี ศรีศิวะ ข้าฯ ขอบูชาแด่พระองค์กาลตีต กาลยนฺ กลฺปนฺต กริ สทา สชฺชนฺนนฺนนฺท ทต ปูรริจิทนนฺท สนฺโทห โมหปหริ, ปรสีท ปรโภมนฺม ธริความหมายก็คือ บุคคลผู้เลิศในทางศิลปะ บุคคลผู้เปี่ยมด้วยเมตตา บุคคลผู้สามารถทำให้อายุจบลง บุคคลผู้สรรเสริญคนดีเสมอ บุคคลผู้เป็นศัตรูของมารซึ่งชื่อว่าตรีปุระ โอพระเป็นเจ้าผู้แท้จริง บุคคลผู้สามารถเอาชนะอุปาทานได้ และบุคคลผู้มั่นใจ และบุคคลผู้เป็นศัตรูต่อความอยากได้ เฮ พระเป็นเจ้า ขอพระองค์จงเป็นสุข ขอพระองค์จงสำราญ

ชมรมรามคำแหงร่วมกับโรงทานเจ๊ดามอบสิ่งของช่วยผู้ยากไร้

ชมรมรามคำแหงพิษณุโลก ร่วมกับโรงทานเจ๊ดา นำสิ่งของ อาหารแห้งร่วมบริจาคแก่ผู้ยากไร้ ในวันแม่แห่งชาติ 2552 ณ โรงทานเจ๊ดา ถนนแสนพลพ่าย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก (หน้าวัดโคกมะตูม"วัดศรีวิสุทธาราม")

ลูกศิษย์มาเยี่ยม

บรรดลูกศิษย์ มาเยี่ยมเยี่ยน ณ โรงทานเจ๊ดา ได้ถ่ายภาพร่วมกัน

โรงทานเจ๊ดาร่วมบริจาคทานในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2551

โรงทานเจ๊ดา คุณกิ่งกนก แสงสว่าง นำสิ่งขอเสื้อผ้า อาหารแห้ง ร่วมบริจาคทานช่วยเหลือคนยากจน ในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2551 โดยมีผู้มารับบริจาคทั้งสิ้นกว่า 250 คน เจ๊ดา คุณกิ่งกนก แสงสว่าง เจ้าของโรงทานเจ๊ดา ด้วยสัตย์ปฏิญาณที่ว่า"ขอทำความดีเพื่อพ่อให้เป็นแบบอย่างให้ประชาชนให้ทุกคนทำความดี เพื่อเป็นการสร้างบารมีให้แก่ตัวท่านเองเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน" ข้าพเจ้าทำบุญไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำข้าพเจ้าปรารถนา ใน 3 สิ่ง ดังนี้ 1.วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ทุกปี เลี้ยงอาหาร แจกข้าวสารอาหารแห้งและเสื้อผ้า 2.เลี้ยงอาหารเจในเทศกาลกินเจ 9 วัน ทุกปี 3.วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ทุกปี เลี้ยงอาหาร แจกข้าวสารอาหารแห้งและเสื้อผ้า