วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สูตรยาอัมพฤกษ์

1. ลูกจันทร์ น้ำหนัก 1 เฟื้อง
2. กระวาน น้ำหนัก 1 สลึง1เฟื้อง
3. การบูร น้ำหนัก 2 สลึง
4. ดีปลี น้ำหนัก 2 สลึง 1 เฟื้อง
5. พิลังกาสา น้ำหนัก 3 สลึง
6. ดอกจันทร์ น้ำหนัก 1 สลึง
7. อำพัน น้ำหนัก 3 สลึง 1 เฟื้อง
8. โกฎิสอ น้ำหนัก 1 สลึง
9. โกฏิเขมา น้ำหนัก 1 สลึง
10. เทียนดำ น้ำหนัก 1 สลึง
11. เทียนแดง น้ำหนัก 5 สลึง 1 เฟื้อง
12. เทียนขาว น้ำหนัก 6 สลึง
13. เทียนตาตั๊กแตน น้ำหนัก 6 สลึง 1 เฟื้อง
14. เทียนแกรน น้ำหนัก 7 สลึง
15. ขิงแห้ง น้ำหนัก 7 สลึง
16. เจตมูลเพลิง น้ำหนัก 2 บาท
17. สมอไทย น้ำหนัก 2 สลึง1 เฟื้อง
18. สมอเทศ น้ำหนัก 9 สลึง
19. บุกกลอ น้ำหนัก 9 สลึง 1เฟื้อง
20. กานพลู น้ำหนัก 10 สลึง
21. ชุมเห็ดเทศ น้ำหนัก 5 บาท 1 สลึง 1 เฟื้อง
22. ใบกัญชาเทศ น้ำหนัก 30 บาท 2 สลึง 1 เฟื้อง
23. พริกไทยอ่อน น้ำหนัก 60 บาท 3 สลึง
24. ต้นเหงือกปลาหมอ น้ำหนัก 30 บาท

นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารัปประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เช้า-เย็น

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บรรยากาศงานแจกทานที่โรงทานเจ๊ดา 5 ธันวาคม 2552

คุณพ่อลือ แสงสว่าง คุณพ่อคุณกิ่งกณก แสงสว่าง เจ้าของโรงทานเจ๊ดา ถ่ายรวมกับคุณชวนพ ชนะวารี ผู้สื่อข่าว ทีทีเคเบิ้ลทีวี พิษณุโลก(ริมขวา) คุณสุวิทย์ ศรีสุข บรรณาธิการหนังสื่อพิมพ์เสียงมหาชน(ริมซ้าย)

บรรดาลูกศิษย์ช่วยกันตักข้าว กับข้าว แจกทานแก่ผู้สูงอายุที่มารับแจกในงาน


มอบข้าวสาร อาหารแห้ง แก่เด็กๆ ณ โรงทานเจ๊ดา









วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แจกฟรี ข้าวสารอาหารแห้ง โรงทานเจ๊ดา 5 ธันวา นี้

เนื่องด้วยในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ โรงทานเจ๊ดา โดย นางกิ่งกณก แสงสว่าง ได้จัดกิจกรรมบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้า ผักสด และจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน ฟรี แก่ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนเมืองพิษณุโลก ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี ปีนี้จัดเป็นปีที่ 5 แล้ว เพื่อวัตถุประสงค์เป็นการทำความดีเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จึงขอเชิญชวนท่านและผู้มีจิตศรัทธาร่วมงานหรือให้การสนับสนุนสิ่งของเพื่อทำอาหารกลางวันจัดเลี้ยงในวันดังกล่าว อาทิ ข้าวสาร ผัก ผลไม้ น้ำดื่ม ไอศกรีม อาหารแห้ง โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ที่ โรงทานเจ๊ดา เลขที่ 731/8 ถนนแสนพลพ่าย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ติดประตูหน้าวัดศรีวิสุทธาราม (วัดโคกมะตูม)
โดยกำหนดการจัดเลี้ยงอาหาร ฟรี ณ โรงทานเจ๊ดา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 เวลา 11.00 น.
(โดยทางโรงทานเจ๊ดา ยังไม่มีผู้ใดมาเป็นสปอนเซอร์หรือให้การสนับสนุนงานบุญครั้งนี้แต่อย่างใด)จึงขอเรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธา คณะสื่อมวลชน รวมงานและให้การสนับสนุนเผยแพร่ข่าวสารในงานบุญครั้งนี้เพื่อเป็นกุศลบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยกันต่อไป
ด้วยบารมีแห่งองค์พ่อศิวะ และ องค์เทพทุกๆพระองค์ ทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน จงประทานพร
ให้กับท่านผู้มีจิตศรัทธา ในงานบุญอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ให้อยู่ดี มีสุข สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง รวยเป็นร้อยล้าน พันล้าน และรวยไปชั่วนิรันดรนี้ด้วยเทอญ


ประสานงานหรือร่วมบริจาคได้ที่
นางกิ่งกนก แสงสว่าง (เจ๊ดา) โทร.089-4361391 , 081-5339770

ไหว้พระจังหวัดร้อยเอ็ด

ทำบุญงานทอดกระถิน ที่วัดบ้านบาโค จังหวัดร้อยเอ็ด
คุณกิ่งกนก แสงสว่าง ถ่ายภาพในวัดมหาเจดีย์ชัยมงคล

คุณกิ่งกณก แสงสว่าง (เจ๊ดา) ถ่ายภาพภายในวัดมหาชัยมงคล กับรูปเขียนสีรูปเทวดา

ถ่ายภาพร่วมกันที่ เจดีย์วัดมหาชัยมงคล

ถ่ายรูปกับลูกศิษย์ที่จังหวัดร้อยเอ็ด

ทำบุญที่วัดบ้านบาโค (วัดโคตมาอุรักษ์) อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

คุณกิ่งกณก แสงสว่าง (เจ๊ดา) ถ่ายตอนที่เดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ด ไหว้พระกับลูกศิษย์ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ณ เจดีย์มหาชัยมงคล

เทศกาลกินเจที่โรงทานเจ๊ดา แจกอาหารเจ๊ฟรี 9 วัน

หนูน้อยก็ช่วยแจกทาน ที่โรงทานเจ๊ดา แจกฟรีครับ
ความสุขคือการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โรงทานเจ๊ดา จังหวัดพิษณุโลก

ถ่ายรูปร่วมกันกับเจ๊ดา

ช่วยกันแจก อาหารเจ ที่โรงทานเจ๊ดา

ช่วยกันแจกอาหารเจ ที่โรงทานดา

หนูน้อยมาช่วยหั่นผักที่โรงทานเดา

คุณกิ่งกณก แสงสว่าง (เจ๊ดา) ช่วยกันจัดเตรียมอาหารเจ เพื่อแจกในช่วงเช้า ณ โรงทานเจ๊ดา
คุณป้าตุ๊มาช่วยกัน จัดอาหารเจ เพื่อแจกในตอนเช้า

ลูกศิษย์โรงทานเจ๊ดาช่วยกันทำอาหารเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ มีคุณสุวารีย์ มีชูนึก คุณภาระกิต เจริญกองชู ผู้จัดการรายการร่วมด้วยช่วยกัน จังหวัดพิษณุโลก เอฟ เอ็ม 92.50 เมกะเฮริตซ์

ลูกศิษย์มาเยี่ยมตำหนักพ่อศิวะ พระแม่กาลี (โรงทานเจ๊ดา)

ทานก๋วยเตี๋ยว ที่ร้านแพเพ็ญ ริมน้ำน่าน กับบรรดาลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ
ลูกศิษย์พาไปไหว้พระที่เขาสมอแคลง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก

ลูกศิษย์จากกรุงเทพมาเยี่ยมและประกอบพิธีกรรมต่อชะตา ประกอบด้วย คุณปราณี ไกรยสินธิ์ คุณสุชาดา หลักกำแพง คุณรุ่งรัตน์ โสดา และคุณอุมพรฯ ภาพนี้ถ่ายหลังจากประกอบพิธีเสร็จ ณ โรงทานแห่งนี้

ศิษย์โรงทานเจ๊ดามาจากกรุงเทพฯ

ภาพนี้ถ่ายในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ลองสังเกตจะพบความแตกต่างในภาพ
บรรดาลูกศิษย์จากกรุงเทพมหานคร เข้ามาที่ตำหนักพ่อศิวะ พระแม่กาลี เพื่อประกอบพิธีกรรมต่อชะตา เกิดปราฏหาริย์มากมาย (ภาพนี้หากสังเกตจะพบแสงประหลาดที่สังข์) คุณรุ่งรัตน์ โสดา ลูกศิษย์ทำงานอยู่กรุงเทพฯ

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปาฏิหาริย์พิธีต่อชะตา

พบลำแสงปาฏิหาริย์ ลอยอยู่ในระหว่างประกอบพิธีต่อชะตา
พิธีต่อชะตาชีวิต ประกอบพิธีที่จังหวัดร้อยเอ็ด
พบสิ่งปาฏิหาริย์ ในระหว่างประกอบพิธีต่อชะตา ปรากฏแสงปาฏิหาริย์ลอยอยู่บนศีรษะ นางบาง ไชยถา และนายไพบูลย์ คำทอง พิธีนี้ทำที่บ้านเลขที่ 83 หมู่ 7 บ้านบาโค ตำบลภูเงิน อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ทำพิธีโดยเจ๊ดา กิ่งกนก แสงสว่าง เจ้าของโรงทานเจ๊ดา เป็นที่น่าประหลาดในแก่ผู้พบเห็น

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

เจ๊ดา คนรักแผ่นดิน เกิดเป็นคนต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน

นางกิ่งกนก แสงสว่าง อายุ 45 ปี ปัจจุบัน อยู่บ้านเลขที่ 73/8 ถนนแสนพลพ่าย ติดกับโรงเรียนศรีวิสุทธิ์ธาราม ปัจจุบันเปิดเป็นโรงทานเพื่อให้ทานแก่คนยากไร้ในจังหวัดพิษณุโลก โดยเริ่มจัดตั้งเป็นโรงทานมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2547 โดยการให้ทานได้แก่ การแจกข้าวสารอาหารแห้ง ผักต่างๆ เสื้อผ้า รองเท้า ไอศกรีม ในการจัดงานในวันพ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ และตลอดเทศกาลกินเจของทุกปี โดยมีการทำอาหารเจเลี้ยงคนยากไร้ตลอด 9 วันซึ่งจัดทำมาตลอดแล้ว 5 ปี โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำทานมาจากลูกศิษย์ที่เคารพนับถือนำมาบริจาค และคนที่อยากร่วมทำบุญ ทั้งใน และต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการแจกผักสดทุกอาทิตย์ สำหรับประวัติส่วนตัว เดิมเป็นคนตำบล พันชาลี อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีพี่น้องร่วมท้อง 5 คน เป็นบุตรของนายบุญลือ-นางเฮียง แสงสว่าง จากวัยเด็กมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นทหาร เป็นคนที่มีจิตใจดี พอเติมโตก็ได้รับราชการทหารพราน ในหน่วยรบพิเศษ ตระเวรชายแดน จากการที่เป็นทหารเหมือนกับการต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย บ่อยครั้งที่กระสุนเฉียดร่างกาย ต่อมาพ่อกับแม่ทราบเรื่องจากการที่ต้องเสี่ยงชีวิต จึงขอให้ลาออกจากการรับราชการทหาร เนื่องจากไม่อยากไม่ให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ แต่ก็ได้จุดประกายความคิดขึ้นมาว่า อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถึงแม้จะไม่ได้รับใช้ชาติแล้ว หลังจากที่ลาออกจากการเป็นทหารแล้ว คุณแม่ก็ล้มป่วยทำให้ต้องดูแลคุณแม่ตลอดระยะเวลา 7 ปี ในตอนนั้นอายุ 25 ปีเศษ ต่อมาก็ได้แต่งงานกับนายตำรวจ ฐานะจัดว่าค่อนข้างร่ำรวย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่เมื่อมองลงไป เห็นคนยากคนจน ก็อยากช่วยเหลือจึงเริ่มเปิดให้ทานครั้งแรกในปี 2540 โดยนำเงินส่วนตัวมาซื่ออาหารเลี้ยงคนยากไร้ในจังหวัดพิษณุโลก จากการที่ให้ทานนั้น ทำให้มีความสุข โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 12 ปีอยู่กับการให้มาตลอด เคยขายบ้านขายรถยนต์ส่วนตัวเป็นมูลค่ากว่า 9 ล้านเศษ มาทำทาน ปัจจุบันก็เช่าบ้านอยู่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ อยู่คนเดียวหลังจากที่อย่าขาดจากสามี โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่สามารถสัมผัสเกี่ยวกับภูตผีต่างๆ ได้ตั้งแต่อายุ เพียง 10 ขวบ นั่งสมาธิและสวดมนต์ทุกวัน ทำบุญใส่บาตรทุกวัน จนสัมผัสได้กับเทพองค์ต่างๆ สำหรับจุดประสงค์ที่ทำการเปิดโรงทานแห่งนี้ก็เพื่ออยากช่วยเหลือสังคม และถวายองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน ให้กุศลผลบุญที่ทำไปแก่พี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเราน่าอยู่ แต่ยังขาดทุนทรัพย์ในการทำบุญอีกมาก จึงอยากวิงวอนทุกท่านที่อยากร่วมทำบุญ มาช่วยกันตามกำลังศรัทธา

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติพระแม่กาลี

เจ้าแม่กาลี: เทวีผู้ปราบกาลียุคความเชื่อและศรัทธาที่ชาวฮินดูมีต่อเทพเจ้านั้นหนักแน่นและมั่นคงนับแต่อด ีตตราบจนปัจจุบัน โดยชาวฮินดูเชื่อว่าโลกนี้ดำเนินไปได้ด้วยอำนาจของตรีมูรติ คือเทพเจ้าทั้งสามองค์อันได้แก่ พระพรหมผู้สร้าง พระวิษณุผู้รักษา และพระศิวะผู้ทำลาย นอกจากเทพทั้งสามที่ชาวฮินดูนับถือแล้วยังมีเทวีปรากฏขึ้นในฐานะชายาของเท พเหล่านี้ ได้แก่ เทวีสรัสวดีชายาของพระพรหม เทวีลักษมีชายาของวิษณุเทพ และเทวีปารวตีชายาของศิวเทพ เทวีทั้งสามนี้มีฤทธานุภาพใกล้เคียงกับเทพเจ้าเลยทีเดียวในครั้งนี้จะขอแนะนำให้ท่านผู้ฟังได้รู้จักกับอวตารปางหนึ่งของชายาพระศิว ะ ซึ่งมีผู้นับถือกันอย่างมากโดยเฉพาะในกัลกัตตาอดีตเมืองท่าของอินเดียนั่น คือ เจ้าแม่กาลี โดยปกติแล้วชายาของพระศิวะมีพระนามที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นของผู้นับถื อ เช่น ปารวตี อุมาเทวี และเจ้าแม่กาลี เป็นต้น เจ้าแม่กาลีเป็นอวตารปางหนึ่งของชายาพระศิวะที่มีผู้นับถือเป็นอย่างมากใน เมืองกัลกัตตา ในเมืองนี้มีวัดเจ้าแม่กาลีอยู่บริเวณ “กาลีฆัต” ซึ่งแปลว่าท่าไปสู่ที่เจ้าแม่กาลี ภายในโบสถ์มีรูปเจ้าแม่กาลีประดิษฐานอยู่ วัดนี้ถือเป็นศูนย์รวมใจของชาวเบงกอลที่นับถือศาสนาฮินดูอย่างแท้จริง ด้วยความศรัทธาที่ชาวฮินดูในกัลกัตตามีต่อเจ้าแม่กาลีจึงทำให้เกิดเทศกาลบ ูชาเจ้าแม่กาลีขึ้นในราวเดือนตุลาคมของทุกปี ในวันงานมีการจัดซุ้มต่างๆเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลี มีการแสดงนิทรรศการแสงสี เสียง ในวันนั้นมีเสียงสวดมนต์ดังไปทั่วทั้งเมือง ช่วงกลางคืนประชาชนก็จะแต่งตัวสวยงามออกจากบ้านเพื่อไปบูชาเจ้าแม่กาลีในซ ุ้มที่มีรูปเจ้าแม่กาลีปางปราบอสูรประดิษฐานอยู่ โดยรูปปั้นของพระนาง อยู่ในท่ายืนยกขาขึ้นข้างหนึ่งแลบลิ้นที่เปื้อนเลือด มี 10 เศียร 10 พระกร 10 พระบาท มีศีรษะมารห้อยคอต่างพวงมาลัยและมีนิ้วมือมารประดับไว้รอบเอวเหตุที่ประชา ชนให้ความเคารพศรัทธาเจ้าแม่กาลีก็เนื่องมาจากพระนางเป็นเทวีผู้ปราบอสูรแ ละนำความสงบมาสู่โลก ตามตำนานกล่าวไว้ว่าครั้งหนึ่งพวกอสูรได้รับพรวิเศษจาก พระพรหม คือ ให้เป็นอมตะ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ด้วยความหลงอำนาจพวกอสูรจึงระรานและเกี้ยวพาเหล่านางฟ้าอย่างไม่เกรงใจเหล ่าเทวดาจนทำให้เหล่าเทวดาเดือดร้อนและได้นำเรื่องนี้ไปร้องเรียนพระพรหม พระพรหมจึงมีบัญชาให้พระศิวะผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการทำลายเป็นผู้ไปกำราบเหล ่าอสูร แต่พระชายาของพระศิวะเป็นผู้อาสาปราบเหล่าอสูรในครั้งนี้แทน โดยชายาของศิวเทพได้อวตารเป็นเจ้าแม่กาลีและได้ทำสงครามกับเหล่าอสูรเป็นเ วลานานเพราะในขณะสู้รบกันนั้นถ้าเลือดของอสูรหยดลงพื้นดินเพียงหยดเดียวก็ จะเกิดอสูรขึ้นหนึ่งตน ดังนั้นพระนางจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้เลือดของอสูรที่เกิดจากการสู้รบไม่ตกลงสู่พื้น ในที่สุดพระนางจึงตัดสินใจแลบลิ้นของตนรับเลือดเหล่าอสูรตลอดระยะเวลาที่พ ระนางทำสงครามกับเหล่าอสูรนั้น และด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้พระนางสามารถปราบอสูรได้สำเร็จจากตำนานที่กล่าวมานี้จึงทำให้ชายาพระศิวะในอวตารของเจ้าแม่กาลีแลบลิ้นที ่เปื้อนเลือดมีศีรษะมารห้อยคอต่างพวงมาลัยและมีนิ้วมือมารประดับไว้รอบเอว ซึ่งก็คือเลือด ศีรษะ และนิ้วมือของเหล่าอสูรที่กล่าวไว้ในตำนานนั่นเอง นอกจากรูปของเจ้าแม่กาลีที่เกิดขึ้นจากตำนานแล้ว การบูชาเจ้าแม่กาลีด้วยเลือดสดๆก็เกิดขึ้นจากตำนานนี้เช่นกัน นั่นคือหลังจากที่เจ้าแม่กาลีปราบอสูรได้แล้วประชาชนก็จัดงานฉลองเพื่อเป็ นการรำลึกถึงพระคุณของพระนางโดยในการเซ่นบวงสรวงโดยนำเลือดสดๆไปบูชา กล่าวกันว่าในยุคแรกๆมีการนำหญิงพรหมจารีไปทำพลีกรรมโดยนำเลือด บริสุทธิ์ในลำคอไปบูชาเจ้าแม่กาลี แต่เมื่อเวลาล่วงไปถึงช่วงที่อังกฤษเข้าปกครองอินเดียได้สั่งห้ามไม่ให้นำ มนุษย์มาใช้ในการบูชา จึงทำให้การบูชาเจ้าแม่กาลีในปัจจุบันนี้เหลือเพียงการนำแพะมาใช้ในการบูช าแทน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะได้กลิ่นคาวของเลือดแพะแทนที่กลิ่นหอม ของธูปและดอกไม้เมื่อเข้าไปในวัดที่มีการบูชาเจ้าแม่กาลีการทำลายชีวิตหนึ่งเพื่อแสดงความศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจจะดูไม่ถูกต้ องนักในสายตาของหลายๆท่านที่ได้รับฟังเรื่องราวนี้ แต่มีอีกสิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือความเชื่อและความศรัทธาที่ชาวฮินดูมีต่ อเทพเจ้าทั้งหลายของพวกเขา รวมถึงความเชื่อในเรื่องอีกหลายๆเรื่องที่เรานึกไม่ถึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำ ให้กระแสของวัฒนธรรมตะวันตกไม่สามารถเข้าไปแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมของชาวฮิ นดูได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการที่วัฒนธรรมตะวันตกกำลังแทรกซึมอยู่ในประเ ทศทางตะวันออกอีกหลายๆประเทศ

ประวัติพระศิวะ

การสร้างสากลจักรวาลในรูปแบบของพรหม และผู้พิทักษ์รักษาในรูปแบบของพระวิษณุ พระเป็นเจ้าผู้สูงสุดนั้นก็คือพระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง พระองค์คือ อำนาจและพระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นด้วยเหมือนกันว่า “ข้าฯ” เป็นผู้หญิง และ “ข้าฯ” ก็เป็นผู้ชายด้วยเหมือนกัน จากชิ้นฝุ่นธุลีไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัว เล็ก ๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด ในพระคัมภีร์อุปนิษัท (คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์) การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า “ศิโวมฺสวห (ข้าคือศิวะ) อันนี้หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุก ๆ คน ควรพิจารณาถึงตัวเขาเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะ แล้วความรู้สึกพยาบาทปองร้าย ความอิจฉาริษยา เป็นต้น ก็จะหายไป และแล้วบุคคลผู้นั้นจะเข้าถึงความสุขความสงบ
แม้มันจะเป็นการลำบากมากที่จะเข้าใจความจริงของพระศิวะ แต่ถึงอย่างนั้น การแต่งกายของพระองค์ และแขนขาต่าง ๆ พยายามที่จะชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนและง่ายดายถึงความหมายทางปรัชญาของพระองค์ ดังต่อไปนี้สีขาว

สีของพระศิวะคือสีขาว สีขาวเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ และศรัทธาแก่กล้า อันนี้แสดงให้เห็นว่า พระศิวะเป็นพระเป็นเจ้าอันสูงสุดแห่งความสงบและศรัทธา โดยการบูชาพระองค์ เราสามารถเข้าถึงความสงบ และโดยการท่องนามของพระองค์ เรากลับเป็นผู้มีศรัทธาแก่กล้าจากภายในตัวเราเองดวงจันทร์บนพระพักตร์ดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งฐานรากของน้ำอมฤต น้ำอมฤตทำลายผลของยาพิษ ฉะนั้น ดวงจันทร์บนพระพักตร์ของพระศิวะ สอนให้เรารู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เรามีความคิดอันเป็นพิษอยู่ในใจของเรา เราควรจะระลึกนึกถึงรากฐานของน้ำอมฤต คือพระศิวะ ดังนั้น ความคิดที่เป็นพิษก็จะหายไปด้วยน้ำอมฤต เราควรทำให้สมองของเราเย็นอยู่เสมอ และไม่ควรทำมันให้ตื่นเต้นหรือเร่าร้อนดวงตาสามดวงในภควันคีตา พระกฤษณะ ทรงกล่าวแก่ท่านอรชุนว่า เธอไม่สามารถเห็นฉันกับด้วยดวงตาธรรมดาได้ ฉะนั้น ฉันจะให้ดวงตาพระเป็นเจ้าแก่เธอ แล้วเธอจึงสามารถเห็นฉันได้ ดวงตาของพระศิวะมีสามดวง สอนให้เรารู้ว่า แม้เราเห็นสิ่งของทางโลกด้วยดวงตาสองดวงของเรา และมองดูทิวทัศน์ต่าง ๆ ได้ แต่ถึงอย่างนั้น การที่จะเห็นพระเป็นเจ้าภายในตัวเรา เราจำเป็นที่จะต้องได้ความรู้อันบริสุทธิ์ และมีศรัทธามั่นไม่หวั่นไหว กล่าวคือ ดวงตามที่สามซึ่งมีคุณสมบัติเหล่านี้ ดังนั้นเราจึงสามารถรู้แจ้งเห็นพระเป็นเจ้าได้ บุคคลควรระลึกนึกถึงไว้ด้วยเหมือนกันว่า เว้นเสียแต่ว่าเรากำจัดความอยากได้ทางโลกเสียเท่านั้น มิฉะนั้น เราไม่สามารถเห็นพระรามได้ ท่านตุลสีทาส กวีผู้มีชื่อเสียงได้เขียนไว้ด้วยเหมือนกันว่า“ชหนฺ ราม ตหนฺ กาม น หิน ชหนฺ กาม น หิน ตหนฺ ราม”ความหมายก็คือว่า พระรามอยู่ทิศไหน ความไม่อยากได้ย่อมอยู่ทิศนั้น ความอยากได้อยู่ที่ไหน พระรามไม่อยู่ที่นั้นกาม คือความอยากได้ กิเลศ ตัณหา กามารมณ์ ฉะนั้น เราชอบท่านสังกราจารย์ด้วยเหมือนกัน เราควรเปิดดวงตาที่สามของความรู้ของเรา และฝังความอยากได้ ความใคร่ ความอยากทางกามารมณ์เสียให้สิ้นแล้วเพียงเท่านั้น เราสามารถเห็นภัควันรามได้พระศอสีน้ำเงินพระศิวะมีพระศอเป็นสีน้ำเงิน ฉะนั้น พระองค์จึงได้นามว่า “นิลกัณฐ์” (มีพระศอเป็นสีน้ำเงิน)

เหตุผลที่พระศอของพระศิวะเป็นสีน้ำเงิน ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของพระศิวะ เมื่อมหาสมุทรพิโรธ มีทั้งน้ำอมฤตและยาพิษอยู่ในมหาสมุทร เพื่อที่จะทำให้เป็นนักบุญและประชาชนปลอดภัย และเพื่อรับใช้มนุษยชาติ พระศิวะทรงเสวยยาพิษทั้งหมด ยาพิษนั้นไม่ได้ทำลายพระองค์ แต่พระศอของพระองค์เท่านั้นที่กลับเป็นสีน้ำเงินอันนี้สอนให้เรารู้ว่า บุคคลผู้ซึ่งพร้อมที่จะช่วยเหลือชุมชน สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้า (เขา) จำเป็นเขาก็จะต้องดื่มยาพิษ เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ๆแม่น้ำคงคาอยู่ในพระเศียรของพระศิวะท่านภคิรัฐ เป็นผู้ภักดีอันยิ่งของพระศิวะคนหนึ่ง เพราะความศรัทธาและความภักดีอันแรงกล้าของเขา แม่น้ำคงคาได้พักอยู่ในพระเศียรของพระศิวะ อันนี้สอนให้เรารู้ว่า ในการที่จะทำให้พระศิวะทรงพอพระทัยนั้น การบูชาและความภักดีอันบริสุทธิ์ เช่น ท่านภคิรัฐย่อมไม่สูญเสียเปล่า และแน่นอนมันย่อมให้ผลของมัน ท่านตุลสีทาส พิจารณาเห็นแม่น้ำคงคาอันมีศรัทธาแรงกล้านี้เป็นเรื่องราวของพระราม เพราะแม่น้ำคงคาในเรื่องพระรามนั้น ถูกพิจารณาว่า พักอยู่ในพระเศียรของพระศิวะ สายสร้อยเพชรงู (งู)จริง ๆ แล้วที่ร่างกายของคนทุก ๆ คน มีงูที่มีชีพอยู่ในรูปของอายตนะ ซึ่งทำให้บุคคลตื่นเต้นเพื่อความสุขสบายทางโลกอยู่เสมอ แต่ภัควันศิวะทรงซ่อนพระรามไว้ในพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น งูแห่งอายตนะทางโลกจะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อพระองค์ งูที่พระกัณฐ์ของพระองค์ สอนให้เรารู้ว่า เราควรมีสติระมัดระวังงูแห่งความอยากได้ทางโลก และทำให้ตัวเราเองยิ่งใหญ่ ซึ่งพิษของงูเหล่านั้นไม่สามารถกระทบกระทั่งเราได้กำไลที่พระเศียรของพระศิวะกำไลที่พระศิวะสวมใส่พระเศียรนั้น เตือนให้เรารู้ว่า ร่างกายของเรานั้น ย่อมต้องแตกสลาย (ไม่วันใดก็วันหนึ่ง) และความตายนั้นเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน นี้คือกฎเกณฑ์ของพระเป็นเจ้า ครั้งหนึ่งพระศิวะเองทรงตรัสแก่พระนางปารวตีว่าเมื่อใดก็ตาม บุคคล……….(พรหมันท) ถูกทำลายลงไป ฉันจะเพิ่มหัวมากกว่าหนึ่งหัวเข้าไปในกำไล อันนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พระศิวะ เป็นพระเป็นเจ้าผู้สูงสุดตรีศูล (เส้นเหล็กกับสัญลักษณ์รูป W อยู่ข้างบน)ตรีศูล แสดงให้เราเห็นว่า พระศิวะเป็นผู้ควบคุมที่สูงสุดของคุณสมบัติของธรรมทั้งสาม และกับด้วยตรีศูลเท่านั้น…………………ทามรู (กลองล็ก)ในคัมภีร์อุปนิษัท (คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์) “ทาม” หมายถึงตัวแทนพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้น เสียงของทามรู บอกให้เรารู้ว่า พระศิวะทรงประทับอยู่ทุกหนทุกแห่ง และไม่มีใครสามารถทำลายได้เช่นเดียวกับอำนาจของโลก ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของทามรูบอกเราให้ทราบว่า “พระเป็นเจ้าเป็นสัจจริง โลกไม่จริง” กล่าวคือ “อุมา กหูน ไม อนุภว อปน สัตย ฮารี ภาชัน ชศต สป สปน” หมายความว่า พระศิวะตรัสแก่พระนางอุมาว่า ตามที่พระองค์เองได้ประสบการณ์มา สัจธรรมย่อมอยู่ในการร้องสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์เพียงอย่างเดียวและโลกทั้งมวลเพียงเหมือนกับความฝันที่ประทับบนหนังสิงโตการที่พระศิวะทรงประทับนั่งบนหนังสิงโต มีเบื้องหลังทางวิทยาการอยู่ ถ้าบุคคลนั่งอยู่บนหนังสิงโต ความอยากได้ของกามคุณ และความโลภจัดก็จะหายไป ฉะนั้น พวกโยคีส่วนมาก ย่อมชอบนั่งสมาธิบนหนังสิงโต อันนี้เพื่อรักษาใจของเขาให้อยู่ในความสงบ และพวกเขาจะไม่ได้รับความยุ่งยากลำบากในกามคุณหรือความโลภจัด บุคคลทั้งหลาย ผู้มีครอบครัว และมีหน้าที่การงานทางโลก จะสวดอ้อนวอนนั่งอยู่บนหนังกวาง เพราะอันนี้ทำให้สมองของเขาแจ่มใส และทำให้ความจำแหลมคมโคเป็นพาหนะพระศิวะ ทรงใช้โคเป็นพาหนะของพระองค์ โคได้นามว่า พฤษภ ในภาษาสันสกฤต พฤษภ หมายถึง ธรรมะ ธรรมะมีกฎที่เป็นพื้นฐานสี่กฎ คือ สัจจะ ความเมตตา การบูชา และทาน พระศิวะแม้พระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลาย พระองค์ก็ทรงประทับนั่งบนธรรมะเสมอ และช่วยเหลือคนทุก ๆ คนศิวลิงค์ของพระศิวะ (หินกลมขาว)ลิงค์ หรือ ลิงคะ หมายถึง สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตสามารถจมลงในสิ่ง ๆ นั้น ท้องฟ้ากลมเหมือนกับโลก ฉะนั้น ลิงคะกลม ๆ เป็นสัญลักษณ์ของโลกด้วยเหมือนกัน ในโลกนั้นนักบุญ อำนาจ และสิ่งมีชีวิตทั้งมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นโดยการบูชาลิงคะของพระศิวะ บุคคลควรบูชานักบุญทั้งหมดและบูชาอำนาจทั้งหมดโดยทางอ้อมข้อสังเกต : ทางด้านขวาของศิวลิงคะ มีรูปภาพเขียนไว้ “คงคาวัตวัน” ในรูปภาพนี้ทางด้านขวา คือภคิรัฐ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ทำพลีกรรมตัวของเขาเอง เพื่อเป็นการยกระดับของประชาชน และเขาที่แสดงในภาพนั้น ในท่าของการบูชาพระศิวะ เพื่อทำให้แม่คงคาคงอยู่ในระดับปกติ ทางด้านซ้าย มีนานทิคัน และพระนางปารวตี ข้างล่างรูปภาพ การสวดต่อ ๆ กันไปที่ได้เขียนไว้ โดยการท่องอย่างเดียวกัน จุดประสงค์ทั้งหมดย่อมจะสมบูรณ์ได้นมมิศโม ศาน นิรวาน รูปมฺ วิภู อม วยปกมฺ เวท พรหมสวรูปมฺ นิชมฺ นิรคุณมฺ นิรวิลกปมฺ นิรหม จิทกศมกศฺวสม ภเชหมความหมายก็คือว่า โอ พระเป็นเจ้าแห่งความหลุดพ้น ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเป็นเจ้า เจ้าของพระเวท และพระเป็นเจ้าของพระเจ้าทั้งหลาย พระศรีศิวะ ข้าฯ ขอนอบน้อมเบื้องหน้าพระองค์โอ พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงอิสระจากความหลอกลวงใด ๆ พระองค์ทรงอยู่ในรูปแบบอันแท้จริงของพระองค์เสมอ พระองค์ไม่ได้แยกแยะในระว่างบุคคลใด ๆ พระองค์ไม่มีความอยากได้ใด ๆ พระองค์เป็นท้องฟ้าและพระองค์เป็นดิน ท้องฟ้าคือเครื่องทรงของพระองค์ โอ พระศิวะ ข้าฯ ร้องเพลงสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์นิรกโรโมกร มูลนฺ ตุริยมฺ กิร คยาน โคติตมิศมฺ คิริศมฺกรลมฺ มหากาล กลม กริปลม คุณหาร สนฺสาร ปรมฺ นโตสหมฺความหมายก็คือ โอ พระองค์ผู้ไร้รูป เป็นจิตวิญญาณ เป็นฐานของโอมนฺกร อยู่เหนือคุณทั้งสามอย่างมาก อยู่เหนือคำพูด ความรู้ และอายตนะ เป็นฉายาของยมะ เต็มไปด้วยความเมตตา เต็มไปด้วยคุณสมบัติดีทั้งหมด โอ พระองค์มากยิ่งกว่าโลก ข้าฯ ขอน้อมเบื้องหน้าพระองค์ตุษรทริ สนฺกาศ เคารมฺ คมฺภีรมฺมโนภูต โกติ ปรภา ศรี ศรีรมฺสฬรูนเมาโล กาลโลลินี จรุคนฺคลสฺทูภาล พาเลนทุ กณฺเ ภชุนคความหมายก็คือ บุคคลผู้ภาคภูมิและเคร่งขรึมเหมือนภูเขาหิมาลัย ร่างกายของบุคคลผู้นั้นสว่างไสว และรุ่งโรจน์ของเทพเจ้าแห่งความรัก ร่างกายของเขาผู้นั้นปรากฏเป็นแม่น้ำคงคาอันสวยงาม และหน้าผากของเขาผู้นั้นคือดวงจันทร์ และที่คอของผู้นั้นคือ งูจลตฺกุนทลมฺ ภรูสุเนตรมฺ วิศลมฺปรสนานม นิลกณมฺ ทยาลมฺมฤคทฺธีศ จารมมฺพรมฺ มุนทมาลมฺปรียมฺ สหนกรมฺ สรว นาถมฺ ภชมิความหมายก็คือว่า ในหูของบุคคลเหล่านี้ มีต่างหูอันสวยงาม มีอยู่ ดวงตาซึ่งโตและสวยงามก็มีอยู่ บุคคลผู้มีหน้าตาเบิกบาน คอเป็นสีน้ำเงิน และผู้มีความเมตตามาก บุคคลผู้สวมชุดของหนังของสิงโต และสรวมสายสร้อยของหัวคนทั้งหลาย ท่านรักคนทุกคน และท่านเป็นเจ้าของคนทุกคน และโอ เป็นผู้หวังดีต่อคนทุกคน ข้าฯ ขอบูชาแด่พระองค์ปรจนฺทมฺ ปรกฤศตมฺ ปรคลฺลมฺภ ปเรศมฺอขณฺทมฺ อนฺชมฺ ภาณุ โกติ ปรกาศมฺทรย ศูล นิรมูลนมฺ ศูล ปณิมภเชสนมฺ ภวนิ ปติมฺ ภาวกมฺยมฺความหมายก็คือว่า โอ พระศิวะ ผู้ยิ่งใหญ่ พระเป็นเจ้าผู้สูงสุด หาขอบเขตมิได้ ไร้ความเกิด แสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์พันดวง บุคคลผู้ถอดเวลาอันไม่เป็นมงคลทั้งหมดสามเวลาออกจากรากของมันทั้งหมด บุคคลผู้ถือหอกและบุคคลผู้ที่เราสามารถเข้าถึงโดยความรัก สามีของภควานี ศรีศิวะ ข้าฯ ขอบูชาแด่พระองค์กาลตีต กาลยนฺ กลฺปนฺต กริ สทา สชฺชนฺนนฺนนฺท ทต ปูรริจิทนนฺท สนฺโทห โมหปหริ, ปรสีท ปรโภมนฺม ธริความหมายก็คือ บุคคลผู้เลิศในทางศิลปะ บุคคลผู้เปี่ยมด้วยเมตตา บุคคลผู้สามารถทำให้อายุจบลง บุคคลผู้สรรเสริญคนดีเสมอ บุคคลผู้เป็นศัตรูของมารซึ่งชื่อว่าตรีปุระ โอพระเป็นเจ้าผู้แท้จริง บุคคลผู้สามารถเอาชนะอุปาทานได้ และบุคคลผู้มั่นใจ และบุคคลผู้เป็นศัตรูต่อความอยากได้ เฮ พระเป็นเจ้า ขอพระองค์จงเป็นสุข ขอพระองค์จงสำราญ

ชมรมรามคำแหงร่วมกับโรงทานเจ๊ดามอบสิ่งของช่วยผู้ยากไร้

ชมรมรามคำแหงพิษณุโลก ร่วมกับโรงทานเจ๊ดา นำสิ่งของ อาหารแห้งร่วมบริจาคแก่ผู้ยากไร้ ในวันแม่แห่งชาติ 2552 ณ โรงทานเจ๊ดา ถนนแสนพลพ่าย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก (หน้าวัดโคกมะตูม"วัดศรีวิสุทธาราม")

ลูกศิษย์มาเยี่ยม

บรรดลูกศิษย์ มาเยี่ยมเยี่ยน ณ โรงทานเจ๊ดา ได้ถ่ายภาพร่วมกัน

โรงทานเจ๊ดาร่วมบริจาคทานในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2551

โรงทานเจ๊ดา คุณกิ่งกนก แสงสว่าง นำสิ่งขอเสื้อผ้า อาหารแห้ง ร่วมบริจาคทานช่วยเหลือคนยากจน ในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2551 โดยมีผู้มารับบริจาคทั้งสิ้นกว่า 250 คน เจ๊ดา คุณกิ่งกนก แสงสว่าง เจ้าของโรงทานเจ๊ดา ด้วยสัตย์ปฏิญาณที่ว่า"ขอทำความดีเพื่อพ่อให้เป็นแบบอย่างให้ประชาชนให้ทุกคนทำความดี เพื่อเป็นการสร้างบารมีให้แก่ตัวท่านเองเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน" ข้าพเจ้าทำบุญไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำข้าพเจ้าปรารถนา ใน 3 สิ่ง ดังนี้ 1.วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ทุกปี เลี้ยงอาหาร แจกข้าวสารอาหารแห้งและเสื้อผ้า 2.เลี้ยงอาหารเจในเทศกาลกินเจ 9 วัน ทุกปี 3.วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ทุกปี เลี้ยงอาหาร แจกข้าวสารอาหารแห้งและเสื้อผ้า

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จำหน่ายใบตองกล้วยตานี


การปลูกกล้วยตานี - สภาพพื้นที่ต้องไม่มีลมแรง และไม่ควรเป็นพื้นที่นา - การปลูกต้องปลูกร่วมกับพืชอื่นที่สูงกว่า เช่น มะปราง - ระยะปลูกที่เหมาะสม 2.50 x 2.50 เมตร หรือ 3 x 2.50 เมตร ประมาณ 200-260 ต้น/ไร่ - การให้ปุ๋ย จะให้ปุ๋ย 3 ครั้ง/ปี ได้แก่ ครั้งที่ 1 ปุ๋ยอินทรีย์ ครั้งที่ 2 ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 12 กก./ไร่ ครั้งที่ 3 ใช้ปุ๋ยคอก * สารเคมีไม่ต้องใช้ การเก็บผลผลิต ผลผลิตหลัก ได้แก่ ใบตอง - ตัดใบตองครั้งแรก หลังจากปลูกกล้วยได้ 8 เดือน โดยจะตัดต่อเมื่อกล้วยแท่งหน่อแล้ว - การตัดใบตองกล้วยตานีให้มีคุณภาพในพื้นที่ 10 ไร่ ควรตัดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยตัดใบที่ 2-3 รองจากใบเทียน (ใบเทียน คือ ใบกล้วยที่แท่งออกมา ลักษณะใบยังม้วนอยู่) มีลักษณะใบตั้งตรง เทคนิคการตัดใบตองกล้วยตานีให้มีคุณภาพ ใช้ขอเกี่ยวกดใบให้เอนขนานกับพื้นแล้วจึงตัด การตัด ตัดช่วงที่ไม่มีน้ำค้าง ช่วงที่เหมาะที่สุด คือ ช่วง 3 โมง - 5 โมงเย็น ถ้ามีน้ำค้างใบจะเปื้อนง่าย ช่วง 3 โมง- 5 โมงเย็น ใบกล้วยจะรับแสงมากในเวลากลางวันทำให้ใบอ่อนไม่แตกง่าย การตัดแต่ละครั้งให้เหลือหูใบไว้ประมาณ 15 นิ้ว เมื่อตัดแล้วต้องรีบเก็บโดยให้ตั้งใบตองไว้กับต้น เพื่อป้องกันการไหลของยางกล้วยไปติดใบ

ใบตองที่มีคุณภาพ และตลาดต้องการ (เกรด A) ต้องตัดใบรองจากเทียน ขนาดความกว้างของใบ ช่วง 8-14 นิ้ว ใบไม่มีตำหนิ ขอบใบตองต้องไม่มีลักษณะไหม้ ใบแตกได้ไม่เกิน 3 แฉก



ผลผลิตที่ได้ต่อ 1ไร่ 1.ใบตองจะตัดได้ตลอดทั้งปี - ช่วงเดือน พ.ค. - ธ.ค. ผลผลิต 1,500 ใบ/เดือน/ไร่ - ช่วงเดือน ม.ค. - เม.ย. ผลผลิต 700 ใบ/เดือน/ไร่ รวมผลผลิตทั้งปี 14,800 ใบ/เดือน 2. ปลีกล้วย ผลผลิต 250 กก./ไร่ 3. ผลกล้วยอ่อน ผลผลิต 1,000 กก./ไร่ 4. ต้นกล้วย เกษตรกรนำต้นกล้วยไปใช้ประโยชน์ได้ 3 ทาง คือ - นำไปทำเชือก ต้นกล้วยที่ไม่สามารถ ตัดใบได้ 1 ต้น สามารถทำเชือกได้ 1.5 กก. (น้ำหนักแห้ง) หรือประมาณ 300 กก./ไร่ - นำต้นกล้วยไปคลุมหน้าดินไม้ผลชนิดอื่นๆ เช่น มะปราง ละมุด ในช่วงแล้ง ถ้าใช้คุม 2 ชิ้น ในช่วงฤดูแล้งไม่ต้องให้น้ำ ต้นพืชเลย เพราะน้ำจากต้นกล้วยจะช่วยให้ ความชื้นในดินได้นาน 4 เดือน - ต้นกล้วยที่แทงหน่อมามากเกินความจำเป็น สามารถนำไป ประกอบอาหารได้ 5. ผลกล้วยสุก จะมีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย เหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหารและการทำขนมจะคงสภาพได้ดีกว่ากล้วยชนิดอื่น ข้อเสียคือ มีเมล็ดมาก ก่อนนำไปประกอบอาหารต้องเอาเมล็ดออกก่อน



การคัดเกรดใบตอง แบ่งเป็น 3 เกรด เกรด A ส่งตลาดต่างประเทศและกรุงเทพฯ เกรด B ส่งตลาด ขอนแก่น และภายในจังหวัด เกรด C ส่งตลาด ลำปาง เชียงใหม่ ข้อจำกัดของการปลูกกล้วยตานี 1. สภาพการปลูกต้องปลูกร่วมกับพืชอื่นเพื่อกันลม 2. ต้องศึกษาด้านการตลาด



ปัจจุบันราคาจำหน่ายใบตองกล้วยตานี ราคา กิโลกรัมละ 6-7 บาท โดยจะมัดรวม 5 กิโลกรัม ขาย 35 บาท โดยราคานี้ต้องเสียค่าบนส่งเพื่อการจำหน่ายต่อมัดเท่ากับ 8 บาท คงเหลือราคา ที่ได้จริง 27-28 บาท/มัด



ติดต่อสั่งซื้อได้ที่

นางเมตตา สังข์บัวแก้ว 81/3 หมู่ 3 บ้านคลองกระจง ตำบลคลองกระจง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

โทร.085-2700875




กลุ่มงานอาชีพจำหน่ายกล้วยกวนมัด

คุณสำเนียง แสงสุข อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ที่ 3 ต.ตาลเตี้ย อ.เมือง จ.สุโขทัย ประกอบอาชีพทำเกษตรเเปรรูปกล้วยมาตั้งเเต่ปี 2544 โดยทำกล้วยกวนเป็นข้าวต้มมัดขนาดเล็ก ทำเป็นของฝาก โดยมีสินค้าจำหน่ายในหลายจังหวัดในประเทศ ได้เเก่ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ สุโขทัย เเละจังหวัดอื่นๆ โดยนำจำหน่ายมาเป็นของฝาก หรือของที่ระลึกในการมาเยือนสุโขทัยได้ เพราะเป็นของฝากที่ดูสวยงาม บ่งบอกถึงความประณีต ละเอียดอ่อน โดยดัดเเปลงกล้วยกวนที่ห่อเป็นข้าวต้มมัดบรรจุลงใน ชะลอม ทำเป็นหาบขนาดจิ๋ว ใส่ตะกร้าขนาดเล็กโดยใน 1 วันจะห่อได้ประมาณ 400-500 ห่อ ดูสวยงาม
ติดต่อรับไปจำหน่ายเป็นของฝากของที่ระลึก ได้ที่
คุณสำเนียง แสงสุข โทร. 086-7699062

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จำหน่ายกิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้

จำหน่ายกิ่งพันธุ์แท้ มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 น้ำดอกไม้สีทอง ฟ้าลั่น เพชรบ้านลาด มหาชนก ติดต่อที่ คุณสุมิตร ศรีสุพรรณ
อยู่ที่เลขที่ 111 หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
โทร.083-4104606

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แก้วมังกร

แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่นำพันธุ์มาจากประเทศเวียดนาม คนเวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง กัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อสามัญว่า Dragon fruit ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. & Rose. ถิ่นกำเนินของแก้วมังกรอยู่ในทวีปอเมิรกากลาง แถบหมู่เกาะเวสต์อินดีส โคลอมเบีย กัวเตมาลา และเวเนซูเอล่า สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์นี้มาจากอเมริการกลางมาปลูกในเวียดนามเป็นระยะเวาลาไม่น้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ที่เวียดนามปลูกันมากจนชาวเวียดนามถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น มีการปลูกเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตามสภาพดินที่มีอยู บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์
ส่วนในเมืองไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรราแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจ
แก้วมังกรเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร ลำต้นเป็นแฉก 3 แฉก คล้ายครับมังกร มีหนามเป็นกระจุกอยู่ที่ตา 4-5 หนาม ลำต้นเดียว แผ่ก้านออกไปรอบ ๆ ต้องมีค้างคอยพยุง ดอกสีขาว เป็นรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ มีกลีบยาวเรียวทับซ้อนกัน บานในเวลากลางคือ จึงมีชื่อเรียกว่า moonflower หรือ lady ot the night หรือ queen of the night ผลแก้วมังกรเมื่อดิบผิวเปลือกเป็นสีเขยว รูปทรงกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 6-10 ซม. มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือกผล เมื่อสุกผิวเปลือกเปลี่ยนเปนสีแดงอมชมพู เนื้อในมีทั้งสีแดงและสีขาวขุ่น มีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้ายเมล็ดแมงลักกระจายทั่วทั้งผล ปลูกได้ทุกภาคทั่วประเทศ แต่แหล่งที่มีการปลูกมากอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรีและสมุทรสงคราม แก้วมังกรมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้
แก้วมังกรพันธุเนื้อขาวเปลือกแดง ผลทรงกลมรีผิวเปลือกสีชมพูสด มีกลีบสีเขียวตามผิวเปลือก เนื้อสีขาวมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ในเนื้อ รสชาติหวานนิด ๆ อมเปรี้ยวหน่อย ๆ บางผลก็หวานจัด แล้วแต่ลูก
แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง ผลเป็นรูปไข่ ขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ เปลือกหนาสีเหลือง เนื้อสีขาว เมล็ดสีดำมีขนาดใหญ่และปริมาณน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ รสชาติหวาน
แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง เป็นพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาใหม่จากไต้หวัน ผลเป็นทรงกลม เปลือกสีแดงจัด ผลขนาดเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง เนื้อสีแดงจัด มีเมล็ดสีดำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว รสชาติหวานกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
แก้วมังกรในประเทศไทยมีผลดกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษศจิกายน แต่ก็มีผลประปรายตลอดทั้งปี
แก้วมังกรนั้นมักกินเป็นผลไม้สด หรือกินรวมกับผลไม้อื่นเป็นฟรุตสลัด หรือนำไปปั่นเป็นน้ำแก้วมังกร เพราะเนื้อเยอะฉ่ำน้ำ รสหวานอ่อน ๆ อมเปรี้ยวนิด ๆ ส่วนแก้วมังกรแดงรสจะหวานจัดกว่าเล็กน้อย
สรรพคุณคุณค่าทางอาหาร
แก้วมังกร มีสารอาหารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และมีเส้นใย มีสรรพคุณช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก แก้ท้องผูก ป้องกันมะเร็งสำไส้ใหญ่และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
แหล่งผลิตและจำหน่ายแก้วมังกรจังหวัดพิจิตร
สวนสายคำธร ติดต่อเจ้าของ คุณทวี สายคำธร
8 หมู่ 5 ตำบลตระกรุไร อำเภอชนแดน จังหวัดพิจิตร
โทร.083-1651457
ช่วงระยะเวลาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ตั้งแต่เดือน มิถุนายน -ตุลาคม ทุกปี

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ชวนชม หรือ ลั่นทมยะวา

ชวนชมหรือลั่นทมยะวาเป็นพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงามสะดุดตา มีรูปทรงของต้นและกิ่งก้านที่สวยงามและอ่อนช้อย นุ่มนวล เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งจนได้รับสมญาว่า "กุหลาบทะเลทราย" นอกจากนี้ชวนชมยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะ เป็นศิริมงคลตามความเชื่อของคนไทย แม้แต่ชาวจีนซึ่งเรียกชวนชมว่า "ปู้กุ้ยฮวย" หรือ "ดอกไม้แห่งความร่ำรวย" ก็ยังมีความหมายไปในทางศิริมงคลอีกด้วย
ชวนชมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกา แถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ราวปี พ.ศ. 2305 แต่กลุ่มนักพฤษศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าไม้ดอกที่พบเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ และในราวปี พ.ศ. 2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ (Josef August Schultes) นักพฤษศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทม จนเป็นที่ยอมรับว่าชวนชมคือดอกไม้ชนิดใหม่
สำหรับในประเทศไทย ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้นำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงตั้งแต่เมื่อใด แต่จากหลักฐานพอสันนิษฐานได้ว่า มีการนำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 70 ปีแล้ว โดยผ่านทางราชสำนัก หลังการเสด็จประพาสต่างประเทศ เพราะมีการพบเห็นชวนชมปลูกอยู่ในเขตพระราชวังและวังเจ้านายทั่วไป จากการสืบค้นของอาจารย์วิชัย อภัยสุวรรณ (ผู้เขียนหนังสือ "ไม้ดอกและประวัติไม้ดอกเมืองไทย") ทราบว่า อย่างน้อยที่สุด คนไทยรู้จักเล่นชวนชมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 โดยพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้ทรงนำพันธุ์ชวนชมเข้าไปปลูกในพระตำหนักลักษมีวิลาศ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าทรงนำต้นชวนชมมาจากแหล่งใด แต่ที่ปรากฏแน่ชัดคือ พระองค์ประทานชื่อดอกไม้นี้ว่า "ชวนชม"
การปลูกเลี้ยงชวนชมในอดีตส่วนใหญ่ปลูกเพื่อชื่นชมดอกเพียงอย่างเดียว ต่อมามีชวนชมพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสายพันธุ์ทางฮอลแลนด์ซึ่งมีโขดเป็นจุดเด่นและมีลักษณะสวยงาม (โขด คือส่วนหนึ่งของรากที่สะสมอาหาร เมื่อชวนชมอายุได้ขนาดต้องหมั่นเปลี่ยนกระถาง เพื่อเพิ่มพื้นทีให้โขดได้เจริญเติบโต) โขดยิ่งมีขนาดใหญ่สัดส่วนสวยงามจะมีราคาแพง
การเลี้ยงโขด
อดีตนิยมปลูกเพื่อให้มีดอกไว้ชื่นชม ปัจจุบันนิยมให้มีโขดใหญ่ สัดส่วนสวยงามเนื่องจาก ชวนชมสายพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศโดยเฉพาะสายพันธุ์ฮอลแลนด์จะมีโขดเป็นจุดเด่น โขดเป็นส่วนหนึ่งของรากใช้สะสมอาหาร การให้โขดใหญ่จำเป็นต้องหมั่นเปลี่ยนกระถางเมื่อชวนชมมีอายุได้ขนาด เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้โขดเจริญเติบโต
การปลูกเลี้ยง
เหมาะกับดินโปร่งร่วนซุย ผู้ปลูกเลี้ยงส่วนใหญ่จึงนิยมเติมวัสดุปรุงดิน เช่น ใบก้ามปู กาบมะพร้าวสับ เปลือกถั่วลิสง แกลบดิน และทรายหยาบเพิ่มลงไปในดินเพื่อให้มีความร่วนซุย การให้น้ำไม่ต้องมากเพราะมีลำต้นอุ่มน้ำ จึงทนต่อสภาพแห้งแล้ง และเป็นพืชที่ไม่ต้องการปุ๋ยมาก
ดินปลูก ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ควรเป็นดินโปร่งร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ซึ่งสามารถใช้วัสดุเหลือจากการเกษตรที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่นมาผสมเป็นดินปลูกดังนี้
1.หน้าดินผสมกับมะพร้าวสับและปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1: 2 : 1 ในส่วนของมะพร้าวสับถ้าเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก เราจะใช้มะพร้าวสับชิ้นเล็กแต่ถ้าต้นขนาดใหญ่ต้องใช้มะพร้าวสับที่ชิ้นใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ชิ้นเล็กจะย่อยสลายเร็ว และทำให้ดินแน่น การให้น้ำก็ให้เป็นปกติวันละครั้งไม่ให้น้ำจนน้ำแฉะมาก เพราะจะทำให้รากเน่า
2.ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกใบก้ามปูและกาบมะพร้าวสับ อัตราส่วน 1:1:2:4 ผสมให้เข้ากันสามารถใช้กับชวนชมได้ทุกขนาด
น้ำ ที่ควรใช้ควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรลดดอกเพราะจะทำให้กลีบดอกช้ำ และร่วงเร็ว ผู้ปลูกควรสังเกตการให้น้ำดังนี้
3. สภาพของต้นชวนชมถ้าขาดน้ำใบจะเหี่ยวขอบใบไหม้และร่วง ดอกมีอายุการบานสั้นและร่วงเร็วถ้าได้รับน้ำมากเกินไป รากจะเน่า โคนนิ่มทำให้ต้นเหี่ยวทั้งต้น
4. เครื่องปลูกควรปรับปรุงดินให้โปร่งด้วยกาบมะพร้าวสับหรือแกลบ เมื่อผิวดินแตกเป็นเกล็ดให้ลดน้ำจนน้ำซึมออกมาจากก้นกระถาง
5. สภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาวควรลดน้ำช่วงเช้าวันละครั้งตามปกติ แต่ในฤดูฝนควรเว้นช่วงตามความเหมาะสม การลดน้ำช่วงเช้าโดยให้น้ำละเหยก่อนถึงเย็นช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่ระบาดในสภาพความชื้นสูง แสงแดด ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ชอบแดด 100% อยู่แล้ว เพราะเป็นไม้เขตร้อน แต่ถ้าจะให้ดีช่วงที่เป็นต้นเล็กๆควรไว้ที่ร่มก่อนแล้วค่อยเอาออกแดดหรือในที่โล่งแจ้ง
ปุ๋ย ชวนชมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น นิยมใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าการให้ปุ๋ยช่วงแรกเมื่อต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยที่มีสูตร ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร15-5-5 หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 2 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนจึงเริ่มมีใบสีเขียว พร้อมที่จะออกดอกใช้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 6-24-24 ทุกๆ 2 สัปดาห์ประมาณ 45 วัน จะออดดอกชุดแรก หลังจากนั้นบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 1 เดือนต่อครั้ง และให้ธาตุอาหารเสริม เช่น minerass ที่มีธาตุโบรอน (B),แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),สังกะสี (Zn),ทองแดง ( Cu),และโมลิบดีนัม (Mo)ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ชวนชมทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การเสียบกิ่ง ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นต้น ต้นพืชที่ได้จะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการเป็นการขยายพันธุ์ที่มีวัตถุประสงค์เชิงการค้า ส่วนอีกวิธีคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการผสมเกสร ลูกผสมที่ได้จะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงในด้านรูปทรง ใบ ดอก และสี ที่แตกต่างจากต้นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ เป็นการสร้างลูกผสมใหม่ออกมาเพื่อคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีตามความต้องการของผู้ปลูกเลี้ยง
โรคและแมลงศัตรู
ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดี ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุด ป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดง จะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน

สนใจกิ่งพันธุ์ชวนชมติดต่อได้ที่
คุณสมาน แก้วเหม เลขที่ 112 หมู่ 9 บ้านวังมะด่าน ตำบลวงฆ้อง
อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โทร.082-4027739
ราคากิ่งพันธุ์ ต้นละ 30 บาท มีจำหน่ายจำนวนมาก อายุต้นตั้งแต่ 6-12 เดือน