1. ลูกจันทร์ น้ำหนัก 1 เฟื้อง
2. กระวาน น้ำหนัก 1 สลึง1เฟื้อง
3. การบูร น้ำหนัก 2 สลึง
4. ดีปลี น้ำหนัก 2 สลึง 1 เฟื้อง
5. พิลังกาสา น้ำหนัก 3 สลึง
6. ดอกจันทร์ น้ำหนัก 1 สลึง
7. อำพัน น้ำหนัก 3 สลึง 1 เฟื้อง
8. โกฎิสอ น้ำหนัก 1 สลึง
9. โกฏิเขมา น้ำหนัก 1 สลึง
10. เทียนดำ น้ำหนัก 1 สลึง
11. เทียนแดง น้ำหนัก 5 สลึง 1 เฟื้อง
12. เทียนขาว น้ำหนัก 6 สลึง
13. เทียนตาตั๊กแตน น้ำหนัก 6 สลึง 1 เฟื้อง
14. เทียนแกรน น้ำหนัก 7 สลึง
15. ขิงแห้ง น้ำหนัก 7 สลึง
16. เจตมูลเพลิง น้ำหนัก 2 บาท
17. สมอไทย น้ำหนัก 2 สลึง1 เฟื้อง
18. สมอเทศ น้ำหนัก 9 สลึง
19. บุกกลอ น้ำหนัก 9 สลึง 1เฟื้อง
20. กานพลู น้ำหนัก 10 สลึง
21. ชุมเห็ดเทศ น้ำหนัก 5 บาท 1 สลึง 1 เฟื้อง
22. ใบกัญชาเทศ น้ำหนัก 30 บาท 2 สลึง 1 เฟื้อง
23. พริกไทยอ่อน น้ำหนัก 60 บาท 3 สลึง
24. ต้นเหงือกปลาหมอ น้ำหนัก 30 บาท
นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารัปประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เช้า-เย็น
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
บรรยากาศงานแจกทานที่โรงทานเจ๊ดา 5 ธันวาคม 2552
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
แจกฟรี ข้าวสารอาหารแห้ง โรงทานเจ๊ดา 5 ธันวา นี้
โดยกำหนดการจัดเลี้ยงอาหาร ฟรี ณ โรงทานเจ๊ดา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 เวลา 11.00 น.
(โดยทางโรงทานเจ๊ดา ยังไม่มีผู้ใดมาเป็นสปอนเซอร์หรือให้การสนับสนุนงานบุญครั้งนี้แต่อย่างใด)จึงขอเรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธา คณะสื่อมวลชน รวมงานและให้การสนับสนุนเผยแพร่ข่าวสารในงานบุญครั้งนี้เพื่อเป็นกุศลบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยกันต่อไป
ด้วยบารมีแห่งองค์พ่อศิวะ และ องค์เทพทุกๆพระองค์ ทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน จงประทานพร
ให้กับท่านผู้มีจิตศรัทธา ในงานบุญอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ให้อยู่ดี มีสุข สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง รวยเป็นร้อยล้าน พันล้าน และรวยไปชั่วนิรันดรนี้ด้วยเทอญ
ประสานงานหรือร่วมบริจาคได้ที่
นางกิ่งกนก แสงสว่าง (เจ๊ดา) โทร.089-4361391 , 081-5339770
ไหว้พระจังหวัดร้อยเอ็ด
เทศกาลกินเจที่โรงทานเจ๊ดา แจกอาหารเจ๊ฟรี 9 วัน
ลูกศิษย์มาเยี่ยมตำหนักพ่อศิวะ พระแม่กาลี (โรงทานเจ๊ดา)
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ปาฏิหาริย์พิธีต่อชะตา
พิธีต่อชะตาชีวิต ประกอบพิธีที่จังหวัดร้อยเอ็ด
พบสิ่งปาฏิหาริย์ ในระหว่างประกอบพิธีต่อชะตา ปรากฏแสงปาฏิหาริย์ลอยอยู่บนศีรษะ นางบาง ไชยถา และนายไพบูลย์ คำทอง พิธีนี้ทำที่บ้านเลขที่ 83 หมู่ 7 บ้านบาโค ตำบลภูเงิน อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ทำพิธีโดยเจ๊ดา กิ่งกนก แสงสว่าง เจ้าของโรงทานเจ๊ดา เป็นที่น่าประหลาดในแก่ผู้พบเห็น
วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552
เจ๊ดา คนรักแผ่นดิน เกิดเป็นคนต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552
ประวัติพระแม่กาลี

ประวัติพระศิวะ

แม้มันจะเป็นการลำบากมากที่จะเข้าใจความจริงของพระศิวะ แต่ถึงอย่างนั้น การแต่งกายของพระองค์ และแขนขาต่าง ๆ พยายามที่จะชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนและง่ายดายถึงความหมายทางปรัชญาของพระองค์ ดังต่อไปนี้สีขาว
สีของพระศิวะคือสีขาว สีขาวเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ และศรัทธาแก่กล้า อันนี้แสดงให้เห็นว่า พระศิวะเป็นพระเป็นเจ้าอันสูงสุดแห่งความสงบและศรัทธา โดยการบูชาพระองค์ เราสามารถเข้าถึงความสงบ และโดยการท่องนามของพระองค์ เรากลับเป็นผู้มีศรัทธาแก่กล้าจากภายในตัวเราเองดวงจันทร์บนพระพักตร์ดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งฐานรากของน้ำอมฤต น้ำอมฤตทำลายผลของยาพิษ ฉะนั้น ดวงจันทร์บนพระพักตร์ของพระศิวะ สอนให้เรารู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เรามีความคิดอันเป็นพิษอยู่ในใจของเรา เราควรจะระลึกนึกถึงรากฐานของน้ำอมฤต คือพระศิวะ ดังนั้น ความคิดที่เป็นพิษก็จะหายไปด้วยน้ำอมฤต เราควรทำให้สมองของเราเย็นอยู่เสมอ และไม่ควรทำมันให้ตื่นเต้นหรือเร่าร้อนดวงตาสามดวงในภควันคีตา พระกฤษณะ ทรงกล่าวแก่ท่านอรชุนว่า เธอไม่สามารถเห็นฉันกับด้วยดวงตาธรรมดาได้ ฉะนั้น ฉันจะให้ดวงตาพระเป็นเจ้าแก่เธอ แล้วเธอจึงสามารถเห็นฉันได้ ดวงตาของพระศิวะมีสามดวง สอนให้เรารู้ว่า แม้เราเห็นสิ่งของทางโลกด้วยดวงตาสองดวงของเรา และมองดูทิวทัศน์ต่าง ๆ ได้ แต่ถึงอย่างนั้น การที่จะเห็นพระเป็นเจ้าภายในตัวเรา เราจำเป็นที่จะต้องได้ความรู้อันบริสุทธิ์ และมีศรัทธามั่นไม่หวั่นไหว กล่าวคือ ดวงตามที่สามซึ่งมีคุณสมบัติเหล่านี้ ดังนั้นเราจึงสามารถรู้แจ้งเห็นพระเป็นเจ้าได้ บุคคลควรระลึกนึกถึงไว้ด้วยเหมือนกันว่า เว้นเสียแต่ว่าเรากำจัดความอยากได้ทางโลกเสียเท่านั้น มิฉะนั้น เราไม่สามารถเห็นพระรามได้ ท่านตุลสีทาส กวีผู้มีชื่อเสียงได้เขียนไว้ด้วยเหมือนกันว่า“ชหนฺ ราม ตหนฺ กาม น หิน ชหนฺ กาม น หิน ตหนฺ ราม”ความหมายก็คือว่า พระรามอยู่ทิศไหน ความไม่อยากได้ย่อมอยู่ทิศนั้น ความอยากได้อยู่ที่ไหน พระรามไม่อยู่ที่นั้นกาม คือความอยากได้ กิเลศ ตัณหา กามารมณ์ ฉะนั้น เราชอบท่านสังกราจารย์ด้วยเหมือนกัน เราควรเปิดดวงตาที่สามของความรู้ของเรา และฝังความอยากได้ ความใคร่ ความอยากทางกามารมณ์เสียให้สิ้นแล้วเพียงเท่านั้น เราสามารถเห็นภัควันรามได้พระศอสีน้ำเงินพระศิวะมีพระศอเป็นสีน้ำเงิน ฉะนั้น พระองค์จึงได้นามว่า “นิลกัณฐ์” (มีพระศอเป็นสีน้ำเงิน)
เหตุผลที่พระศอของพระศิวะเป็นสีน้ำเงิน ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของพระศิวะ เมื่อมหาสมุทรพิโรธ มีทั้งน้ำอมฤตและยาพิษอยู่ในมหาสมุทร เพื่อที่จะทำให้เป็นนักบุญและประชาชนปลอดภัย และเพื่อรับใช้มนุษยชาติ พระศิวะทรงเสวยยาพิษทั้งหมด ยาพิษนั้นไม่ได้ทำลายพระองค์ แต่พระศอของพระองค์เท่านั้นที่กลับเป็นสีน้ำเงินอันนี้สอนให้เรารู้ว่า บุคคลผู้ซึ่งพร้อมที่จะช่วยเหลือชุมชน สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้า (เขา) จำเป็นเขาก็จะต้องดื่มยาพิษ เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ๆแม่น้ำคงคาอยู่ในพระเศียรของพระศิวะท่านภคิรัฐ เป็นผู้ภักดีอันยิ่งของพระศิวะคนหนึ่ง เพราะความศรัทธาและความภักดีอันแรงกล้าของเขา แม่น้ำคงคาได้พักอยู่ในพระเศียรของพระศิวะ อันนี้สอนให้เรารู้ว่า ในการที่จะทำให้พระศิวะทรงพอพระทัยนั้น การบูชาและความภักดีอันบริสุทธิ์ เช่น ท่านภคิรัฐย่อมไม่สูญเสียเปล่า และแน่นอนมันย่อมให้ผลของมัน ท่านตุลสีทาส พิจารณาเห็นแม่น้ำคงคาอันมีศรัทธาแรงกล้านี้เป็นเรื่องราวของพระราม เพราะแม่น้ำคงคาในเรื่องพระรามนั้น ถูกพิจารณาว่า พักอยู่ในพระเศียรของพระศิวะ สายสร้อยเพชรงู (งู)จริง ๆ แล้วที่ร่างกายของคนทุก ๆ คน มีงูที่มีชีพอยู่ในรูปของอายตนะ ซึ่งทำให้บุคคลตื่นเต้นเพื่อความสุขสบายทางโลกอยู่เสมอ แต่ภัควันศิวะทรงซ่อนพระรามไว้ในพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น งูแห่งอายตนะทางโลกจะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อพระองค์ งูที่พระกัณฐ์ของพระองค์ สอนให้เรารู้ว่า เราควรมีสติระมัดระวังงูแห่งความอยากได้ทางโลก และทำให้ตัวเราเองยิ่งใหญ่ ซึ่งพิษของงูเหล่านั้นไม่สามารถกระทบกระทั่งเราได้กำไลที่พระเศียรของพระศิวะกำไลที่พระศิวะสวมใส่พระเศียรนั้น เตือนให้เรารู้ว่า ร่างกายของเรานั้น ย่อมต้องแตกสลาย (ไม่วันใดก็วันหนึ่ง) และความตายนั้นเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน นี้คือกฎเกณฑ์ของพระเป็นเจ้า ครั้งหนึ่งพระศิวะเองทรงตรัสแก่พระนางปารวตีว่าเมื่อใดก็ตาม บุคคล……….(พรหมันท) ถูกทำลายลงไป ฉันจะเพิ่มหัวมากกว่าหนึ่งหัวเข้าไปในกำไล อันนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พระศิวะ เป็นพระเป็นเจ้าผู้สูงสุดตรีศูล (เส้นเหล็กกับสัญลักษณ์รูป W อยู่ข้างบน)ตรีศูล แสดงให้เราเห็นว่า พระศิวะเป็นผู้ควบคุมที่สูงสุดของคุณสมบัติของธรรมทั้งสาม และกับด้วยตรีศูลเท่านั้น…………………ทามรู (กลองล็ก)ในคัมภีร์อุปนิษัท (คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์) “ทาม” หมายถึงตัวแทนพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้น เสียงของทามรู บอกให้เรารู้ว่า พระศิวะทรงประทับอยู่ทุกหนทุกแห่ง และไม่มีใครสามารถทำลายได้เช่นเดียวกับอำนาจของโลก ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของทามรูบอกเราให้ทราบว่า “พระเป็นเจ้าเป็นสัจจริง โลกไม่จริง” กล่าวคือ “อุมา กหูน ไม อนุภว อปน สัตย ฮารี ภาชัน ชศต สป สปน” หมายความว่า พระศิวะตรัสแก่พระนางอุมาว่า ตามที่พระองค์เองได้ประสบการณ์มา สัจธรรมย่อมอยู่ในการร้องสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์เพียงอย่างเดียวและโลกทั้งมวลเพียงเหมือนกับความฝันที่ประทับบนหนังสิงโตการที่พระศิวะทรงประทับนั่งบนหนังสิงโต มีเบื้องหลังทางวิทยาการอยู่ ถ้าบุคคลนั่งอยู่บนหนังสิงโต ความอยากได้ของกามคุณ และความโลภจัดก็จะหายไป ฉะนั้น พวกโยคีส่วนมาก ย่อมชอบนั่งสมาธิบนหนังสิงโต อันนี้เพื่อรักษาใจของเขาให้อยู่ในความสงบ และพวกเขาจะไม่ได้รับความยุ่งยากลำบากในกามคุณหรือความโลภจัด บุคคลทั้งหลาย ผู้มีครอบครัว และมีหน้าที่การงานทางโลก จะสวดอ้อนวอนนั่งอยู่บนหนังกวาง เพราะอันนี้ทำให้สมองของเขาแจ่มใส และทำให้ความจำแหลมคมโคเป็นพาหนะพระศิวะ ทรงใช้โคเป็นพาหนะของพระองค์ โคได้นามว่า พฤษภ ในภาษาสันสกฤต พฤษภ หมายถึง ธรรมะ ธรรมะมีกฎที่เป็นพื้นฐานสี่กฎ คือ สัจจะ ความเมตตา การบูชา และทาน พระศิวะแม้พระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลาย พระองค์ก็ทรงประทับนั่งบนธรรมะเสมอ และช่วยเหลือคนทุก ๆ คนศิวลิงค์ของพระศิวะ (หินกลมขาว)ลิงค์ หรือ ลิงคะ หมายถึง สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตสามารถจมลงในสิ่ง ๆ นั้น ท้องฟ้ากลมเหมือนกับโลก ฉะนั้น ลิงคะกลม ๆ เป็นสัญลักษณ์ของโลกด้วยเหมือนกัน ในโลกนั้นนักบุญ อำนาจ และสิ่งมีชีวิตทั้งมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นโดยการบูชาลิงคะของพระศิวะ บุคคลควรบูชานักบุญทั้งหมดและบูชาอำนาจทั้งหมดโดยทางอ้อมข้อสังเกต : ทางด้านขวาของศิวลิงคะ มีรูปภาพเขียนไว้ “คงคาวัตวัน” ในรูปภาพนี้ทางด้านขวา คือภคิรัฐ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ทำพลีกรรมตัวของเขาเอง เพื่อเป็นการยกระดับของประชาชน และเขาที่แสดงในภาพนั้น ในท่าของการบูชาพระศิวะ เพื่อทำให้แม่คงคาคงอยู่ในระดับปกติ ทางด้านซ้าย มีนานทิคัน และพระนางปารวตี ข้างล่างรูปภาพ การสวดต่อ ๆ กันไปที่ได้เขียนไว้ โดยการท่องอย่างเดียวกัน จุดประสงค์ทั้งหมดย่อมจะสมบูรณ์ได้นมมิศโม ศาน นิรวาน รูปมฺ วิภู อม วยปกมฺ เวท พรหมสวรูปมฺ นิชมฺ นิรคุณมฺ นิรวิลกปมฺ นิรหม จิทกศมกศฺวสม ภเชหมความหมายก็คือว่า โอ พระเป็นเจ้าแห่งความหลุดพ้น ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเป็นเจ้า เจ้าของพระเวท และพระเป็นเจ้าของพระเจ้าทั้งหลาย พระศรีศิวะ ข้าฯ ขอนอบน้อมเบื้องหน้าพระองค์โอ พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงอิสระจากความหลอกลวงใด ๆ พระองค์ทรงอยู่ในรูปแบบอันแท้จริงของพระองค์เสมอ พระองค์ไม่ได้แยกแยะในระว่างบุคคลใด ๆ พระองค์ไม่มีความอยากได้ใด ๆ พระองค์เป็นท้องฟ้าและพระองค์เป็นดิน ท้องฟ้าคือเครื่องทรงของพระองค์ โอ พระศิวะ ข้าฯ ร้องเพลงสรรเสริญความรุ่งโรจน์ของพระองค์นิรกโรโมกร มูลนฺ ตุริยมฺ กิร คยาน โคติตมิศมฺ คิริศมฺกรลมฺ มหากาล กลม กริปลม คุณหาร สนฺสาร ปรมฺ นโตสหมฺความหมายก็คือ โอ พระองค์ผู้ไร้รูป เป็นจิตวิญญาณ เป็นฐานของโอมนฺกร อยู่เหนือคุณทั้งสามอย่างมาก อยู่เหนือคำพูด ความรู้ และอายตนะ เป็นฉายาของยมะ เต็มไปด้วยความเมตตา เต็มไปด้วยคุณสมบัติดีทั้งหมด โอ พระองค์มากยิ่งกว่าโลก ข้าฯ ขอน้อมเบื้องหน้าพระองค์ตุษรทริ สนฺกาศ เคารมฺ คมฺภีรมฺมโนภูต โกติ ปรภา ศรี ศรีรมฺสฬรูนเมาโล กาลโลลินี จรุคนฺคลสฺทูภาล พาเลนทุ กณฺเ ภชุนคความหมายก็คือ บุคคลผู้ภาคภูมิและเคร่งขรึมเหมือนภูเขาหิมาลัย ร่างกายของบุคคลผู้นั้นสว่างไสว และรุ่งโรจน์ของเทพเจ้าแห่งความรัก ร่างกายของเขาผู้นั้นปรากฏเป็นแม่น้ำคงคาอันสวยงาม และหน้าผากของเขาผู้นั้นคือดวงจันทร์ และที่คอของผู้นั้นคือ งูจลตฺกุนทลมฺ ภรูสุเนตรมฺ วิศลมฺปรสนานม นิลกณมฺ ทยาลมฺมฤคทฺธีศ จารมมฺพรมฺ มุนทมาลมฺปรียมฺ สหนกรมฺ สรว นาถมฺ ภชมิความหมายก็คือว่า ในหูของบุคคลเหล่านี้ มีต่างหูอันสวยงาม มีอยู่ ดวงตาซึ่งโตและสวยงามก็มีอยู่ บุคคลผู้มีหน้าตาเบิกบาน คอเป็นสีน้ำเงิน และผู้มีความเมตตามาก บุคคลผู้สวมชุดของหนังของสิงโต และสรวมสายสร้อยของหัวคนทั้งหลาย ท่านรักคนทุกคน และท่านเป็นเจ้าของคนทุกคน และโอ เป็นผู้หวังดีต่อคนทุกคน ข้าฯ ขอบูชาแด่พระองค์ปรจนฺทมฺ ปรกฤศตมฺ ปรคลฺลมฺภ ปเรศมฺอขณฺทมฺ อนฺชมฺ ภาณุ โกติ ปรกาศมฺทรย ศูล นิรมูลนมฺ ศูล ปณิมภเชสนมฺ ภวนิ ปติมฺ ภาวกมฺยมฺความหมายก็คือว่า โอ พระศิวะ ผู้ยิ่งใหญ่ พระเป็นเจ้าผู้สูงสุด หาขอบเขตมิได้ ไร้ความเกิด แสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์พันดวง บุคคลผู้ถอดเวลาอันไม่เป็นมงคลทั้งหมดสามเวลาออกจากรากของมันทั้งหมด บุคคลผู้ถือหอกและบุคคลผู้ที่เราสามารถเข้าถึงโดยความรัก สามีของภควานี ศรีศิวะ ข้าฯ ขอบูชาแด่พระองค์กาลตีต กาลยนฺ กลฺปนฺต กริ สทา สชฺชนฺนนฺนนฺท ทต ปูรริจิทนนฺท สนฺโทห โมหปหริ, ปรสีท ปรโภมนฺม ธริความหมายก็คือ บุคคลผู้เลิศในทางศิลปะ บุคคลผู้เปี่ยมด้วยเมตตา บุคคลผู้สามารถทำให้อายุจบลง บุคคลผู้สรรเสริญคนดีเสมอ บุคคลผู้เป็นศัตรูของมารซึ่งชื่อว่าตรีปุระ โอพระเป็นเจ้าผู้แท้จริง บุคคลผู้สามารถเอาชนะอุปาทานได้ และบุคคลผู้มั่นใจ และบุคคลผู้เป็นศัตรูต่อความอยากได้ เฮ พระเป็นเจ้า ขอพระองค์จงเป็นสุข ขอพระองค์จงสำราญ
โรงทานเจ๊ดาร่วมบริจาคทานในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2551

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552
จำหน่ายใบตองกล้วยตานี

การปลูกกล้วยตานี - สภาพพื้นที่ต้องไม่มีลมแรง และไม่ควรเป็นพื้นที่นา - การปลูกต้องปลูกร่วมกับพืชอื่นที่สูงกว่า เช่น มะปราง - ระยะปลูกที่เหมาะสม 2.50 x 2.50 เมตร หรือ 3 x 2.50 เมตร ประมาณ 200-260 ต้น/ไร่ - การให้ปุ๋ย จะให้ปุ๋ย 3 ครั้ง/ปี ได้แก่ ครั้งที่ 1 ปุ๋ยอินทรีย์ ครั้งที่ 2 ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 12 กก./ไร่ ครั้งที่ 3 ใช้ปุ๋ยคอก * สารเคมีไม่ต้องใช้ การเก็บผลผลิต ผลผลิตหลัก ได้แก่ ใบตอง - ตัดใบตองครั้งแรก หลังจากปลูกกล้วยได้ 8 เดือน โดยจะตัดต่อเมื่อกล้วยแท่งหน่อแล้ว - การตัดใบตองกล้วยตานีให้มีคุณภาพในพื้นที่ 10 ไร่ ควรตัดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยตัดใบที่ 2-3 รองจากใบเทียน (ใบเทียน คือ ใบกล้วยที่แท่งออกมา ลักษณะใบยังม้วนอยู่) มีลักษณะใบตั้งตรง เทคนิคการตัดใบตองกล้วยตานีให้มีคุณภาพ ใช้ขอเกี่ยวกดใบให้เอนขนานกับพื้นแล้วจึงตัด การตัด ตัดช่วงที่ไม่มีน้ำค้าง ช่วงที่เหมาะที่สุด คือ ช่วง 3 โมง - 5 โมงเย็น ถ้ามีน้ำค้างใบจะเปื้อนง่าย ช่วง 3 โมง- 5 โมงเย็น ใบกล้วยจะรับแสงมากในเวลากลางวันทำให้ใบอ่อนไม่แตกง่าย การตัดแต่ละครั้งให้เหลือหูใบไว้ประมาณ 15 นิ้ว เมื่อตัดแล้วต้องรีบเก็บโดยให้ตั้งใบตองไว้กับต้น เพื่อป้องกันการไหลของยางกล้วยไปติดใบ
ใบตองที่มีคุณภาพ และตลาดต้องการ (เกรด A) ต้องตัดใบรองจากเทียน ขนาดความกว้างของใบ ช่วง 8-14 นิ้ว ใบไม่มีตำหนิ ขอบใบตองต้องไม่มีลักษณะไหม้ ใบแตกได้ไม่เกิน 3 แฉก
ผลผลิตที่ได้ต่อ 1ไร่ 1.ใบตองจะตัดได้ตลอดทั้งปี - ช่วงเดือน พ.ค. - ธ.ค. ผลผลิต 1,500 ใบ/เดือน/ไร่ - ช่วงเดือน ม.ค. - เม.ย. ผลผลิต 700 ใบ/เดือน/ไร่ รวมผลผลิตทั้งปี 14,800 ใบ/เดือน 2. ปลีกล้วย ผลผลิต 250 กก./ไร่ 3. ผลกล้วยอ่อน ผลผลิต 1,000 กก./ไร่ 4. ต้นกล้วย เกษตรกรนำต้นกล้วยไปใช้ประโยชน์ได้ 3 ทาง คือ - นำไปทำเชือก ต้นกล้วยที่ไม่สามารถ ตัดใบได้ 1 ต้น สามารถทำเชือกได้ 1.5 กก. (น้ำหนักแห้ง) หรือประมาณ 300 กก./ไร่ - นำต้นกล้วยไปคลุมหน้าดินไม้ผลชนิดอื่นๆ เช่น มะปราง ละมุด ในช่วงแล้ง ถ้าใช้คุม 2 ชิ้น ในช่วงฤดูแล้งไม่ต้องให้น้ำ ต้นพืชเลย เพราะน้ำจากต้นกล้วยจะช่วยให้ ความชื้นในดินได้นาน 4 เดือน - ต้นกล้วยที่แทงหน่อมามากเกินความจำเป็น สามารถนำไป ประกอบอาหารได้ 5. ผลกล้วยสุก จะมีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย เหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหารและการทำขนมจะคงสภาพได้ดีกว่ากล้วยชนิดอื่น ข้อเสียคือ มีเมล็ดมาก ก่อนนำไปประกอบอาหารต้องเอาเมล็ดออกก่อน
การคัดเกรดใบตอง แบ่งเป็น 3 เกรด เกรด A ส่งตลาดต่างประเทศและกรุงเทพฯ เกรด B ส่งตลาด ขอนแก่น และภายในจังหวัด เกรด C ส่งตลาด ลำปาง เชียงใหม่ ข้อจำกัดของการปลูกกล้วยตานี 1. สภาพการปลูกต้องปลูกร่วมกับพืชอื่นเพื่อกันลม 2. ต้องศึกษาด้านการตลาด
ปัจจุบันราคาจำหน่ายใบตองกล้วยตานี ราคา กิโลกรัมละ 6-7 บาท โดยจะมัดรวม 5 กิโลกรัม ขาย 35 บาท โดยราคานี้ต้องเสียค่าบนส่งเพื่อการจำหน่ายต่อมัดเท่ากับ 8 บาท คงเหลือราคา ที่ได้จริง 27-28 บาท/มัด
ติดต่อสั่งซื้อได้ที่
นางเมตตา สังข์บัวแก้ว 81/3 หมู่ 3 บ้านคลองกระจง ตำบลคลองกระจง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
โทร.085-2700875
กลุ่มงานอาชีพจำหน่ายกล้วยกวนมัด

ติดต่อรับไปจำหน่ายเป็นของฝากของที่ระลึก ได้ที่
คุณสำเนียง แสงสุข โทร. 086-7699062
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
แก้วมังกร

ส่วนในเมืองไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรราแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจ
แก้วมังกรเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร ลำต้นเป็นแฉก 3 แฉก คล้ายครับมังกร มีหนามเป็นกระจุกอยู่ที่ตา 4-5 หนาม ลำต้นเดียว แผ่ก้านออกไปรอบ ๆ ต้องมีค้างคอยพยุง ดอกสีขาว เป็นรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ มีกลีบยาวเรียวทับซ้อนกัน บานในเวลากลางคือ จึงมีชื่อเรียกว่า moonflower หรือ lady ot the night หรือ queen of the night ผลแก้วมังกรเมื่อดิบผิวเปลือกเป็นสีเขยว รูปทรงกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 6-10 ซม. มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือกผล เมื่อสุกผิวเปลือกเปลี่ยนเปนสีแดงอมชมพู เนื้อในมีทั้งสีแดงและสีขาวขุ่น มีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้ายเมล็ดแมงลักกระจายทั่วทั้งผล ปลูกได้ทุกภาคทั่วประเทศ แต่แหล่งที่มีการปลูกมากอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรีและสมุทรสงคราม แก้วมังกรมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้
แก้วมังกรพันธุเนื้อขาวเปลือกแดง ผลทรงกลมรีผิวเปลือกสีชมพูสด มีกลีบสีเขียวตามผิวเปลือก เนื้อสีขาวมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ในเนื้อ รสชาติหวานนิด ๆ อมเปรี้ยวหน่อย ๆ บางผลก็หวานจัด แล้วแต่ลูก
แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง ผลเป็นรูปไข่ ขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ เปลือกหนาสีเหลือง เนื้อสีขาว เมล็ดสีดำมีขนาดใหญ่และปริมาณน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ รสชาติหวาน
แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง เป็นพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาใหม่จากไต้หวัน ผลเป็นทรงกลม เปลือกสีแดงจัด ผลขนาดเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง เนื้อสีแดงจัด มีเมล็ดสีดำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว รสชาติหวานกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
แก้วมังกรในประเทศไทยมีผลดกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษศจิกายน แต่ก็มีผลประปรายตลอดทั้งปี
แก้วมังกรนั้นมักกินเป็นผลไม้สด หรือกินรวมกับผลไม้อื่นเป็นฟรุตสลัด หรือนำไปปั่นเป็นน้ำแก้วมังกร เพราะเนื้อเยอะฉ่ำน้ำ รสหวานอ่อน ๆ อมเปรี้ยวนิด ๆ ส่วนแก้วมังกรแดงรสจะหวานจัดกว่าเล็กน้อย
สรรพคุณคุณค่าทางอาหาร
แก้วมังกร มีสารอาหารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และมีเส้นใย มีสรรพคุณช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก แก้ท้องผูก ป้องกันมะเร็งสำไส้ใหญ่และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
แหล่งผลิตและจำหน่ายแก้วมังกรจังหวัดพิจิตร
สวนสายคำธร ติดต่อเจ้าของ คุณทวี สายคำธร
8 หมู่ 5 ตำบลตระกรุไร อำเภอชนแดน จังหวัดพิจิตร
โทร.083-1651457
ช่วงระยะเวลาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ตั้งแต่เดือน มิถุนายน -ตุลาคม ทุกปี
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ชวนชม หรือ ลั่นทมยะวา

ชวนชมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกา แถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ราวปี พ.ศ. 2305 แต่กลุ่มนักพฤษศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าไม้ดอกที่พบเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ และในราวปี พ.ศ. 2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ (Josef August Schultes) นักพฤษศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทม จนเป็นที่ยอมรับว่าชวนชมคือดอกไม้ชนิดใหม่
สำหรับในประเทศไทย ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้นำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงตั้งแต่เมื่อใด แต่จากหลักฐานพอสันนิษฐานได้ว่า มีการนำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 70 ปีแล้ว โดยผ่านทางราชสำนัก หลังการเสด็จประพาสต่างประเทศ เพราะมีการพบเห็นชวนชมปลูกอยู่ในเขตพระราชวังและวังเจ้านายทั่วไป จากการสืบค้นของอาจารย์วิชัย อภัยสุวรรณ (ผู้เขียนหนังสือ "ไม้ดอกและประวัติไม้ดอกเมืองไทย") ทราบว่า อย่างน้อยที่สุด คนไทยรู้จักเล่นชวนชมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 โดยพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้ทรงนำพันธุ์ชวนชมเข้าไปปลูกในพระตำหนักลักษมีวิลาศ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าทรงนำต้นชวนชมมาจากแหล่งใด แต่ที่ปรากฏแน่ชัดคือ พระองค์ประทานชื่อดอกไม้นี้ว่า "ชวนชม"
การปลูกเลี้ยงชวนชมในอดีตส่วนใหญ่ปลูกเพื่อชื่นชมดอกเพียงอย่างเดียว ต่อมามีชวนชมพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสายพันธุ์ทางฮอลแลนด์ซึ่งมีโขดเป็นจุดเด่นและมีลักษณะสวยงาม (โขด คือส่วนหนึ่งของรากที่สะสมอาหาร เมื่อชวนชมอายุได้ขนาดต้องหมั่นเปลี่ยนกระถาง เพื่อเพิ่มพื้นทีให้โขดได้เจริญเติบโต) โขดยิ่งมีขนาดใหญ่สัดส่วนสวยงามจะมีราคาแพง
การปลูกเลี้ยงชวนชมในอดีตส่วนใหญ่ปลูกเพื่อชื่นชมดอกเพียงอย่างเดียว ต่อมามีชวนชมพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสายพันธุ์ทางฮอลแลนด์ซึ่งมีโขดเป็นจุดเด่นและมีลักษณะสวยงาม (โขด คือส่วนหนึ่งของรากที่สะสมอาหาร เมื่อชวนชมอายุได้ขนาดต้องหมั่นเปลี่ยนกระถาง เพื่อเพิ่มพื้นทีให้โขดได้เจริญเติบโต) โขดยิ่งมีขนาดใหญ่สัดส่วนสวยงามจะมีราคาแพง
การเลี้ยงโขด
อดีตนิยมปลูกเพื่อให้มีดอกไว้ชื่นชม ปัจจุบันนิยมให้มีโขดใหญ่ สัดส่วนสวยงามเนื่องจาก ชวนชมสายพันธุ์ลูกผสมจากต่างประเทศโดยเฉพาะสายพันธุ์ฮอลแลนด์จะมีโขดเป็นจุดเด่น โขดเป็นส่วนหนึ่งของรากใช้สะสมอาหาร การให้โขดใหญ่จำเป็นต้องหมั่นเปลี่ยนกระถางเมื่อชวนชมมีอายุได้ขนาด เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้โขดเจริญเติบโต
การปลูกเลี้ยง
การปลูกเลี้ยง
เหมาะกับดินโปร่งร่วนซุย ผู้ปลูกเลี้ยงส่วนใหญ่จึงนิยมเติมวัสดุปรุงดิน เช่น ใบก้ามปู กาบมะพร้าวสับ เปลือกถั่วลิสง แกลบดิน และทรายหยาบเพิ่มลงไปในดินเพื่อให้มีความร่วนซุย การให้น้ำไม่ต้องมากเพราะมีลำต้นอุ่มน้ำ จึงทนต่อสภาพแห้งแล้ง และเป็นพืชที่ไม่ต้องการปุ๋ยมาก
ดินปลูก ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ควรเป็นดินโปร่งร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ซึ่งสามารถใช้วัสดุเหลือจากการเกษตรที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่นมาผสมเป็นดินปลูกดังนี้
1.หน้าดินผสมกับมะพร้าวสับและปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1: 2 : 1 ในส่วนของมะพร้าวสับถ้าเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก เราจะใช้มะพร้าวสับชิ้นเล็กแต่ถ้าต้นขนาดใหญ่ต้องใช้มะพร้าวสับที่ชิ้นใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ชิ้นเล็กจะย่อยสลายเร็ว และทำให้ดินแน่น การให้น้ำก็ให้เป็นปกติวันละครั้งไม่ให้น้ำจนน้ำแฉะมาก เพราะจะทำให้รากเน่า
2.ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกใบก้ามปูและกาบมะพร้าวสับ อัตราส่วน 1:1:2:4 ผสมให้เข้ากันสามารถใช้กับชวนชมได้ทุกขนาด
น้ำ ที่ควรใช้ควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรลดดอกเพราะจะทำให้กลีบดอกช้ำ และร่วงเร็ว ผู้ปลูกควรสังเกตการให้น้ำดังนี้
3. สภาพของต้นชวนชมถ้าขาดน้ำใบจะเหี่ยวขอบใบไหม้และร่วง ดอกมีอายุการบานสั้นและร่วงเร็วถ้าได้รับน้ำมากเกินไป รากจะเน่า โคนนิ่มทำให้ต้นเหี่ยวทั้งต้น
4. เครื่องปลูกควรปรับปรุงดินให้โปร่งด้วยกาบมะพร้าวสับหรือแกลบ เมื่อผิวดินแตกเป็นเกล็ดให้ลดน้ำจนน้ำซึมออกมาจากก้นกระถาง
5. สภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาวควรลดน้ำช่วงเช้าวันละครั้งตามปกติ แต่ในฤดูฝนควรเว้นช่วงตามความเหมาะสม การลดน้ำช่วงเช้าโดยให้น้ำละเหยก่อนถึงเย็นช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่ระบาดในสภาพความชื้นสูง แสงแดด ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ชอบแดด 100% อยู่แล้ว เพราะเป็นไม้เขตร้อน แต่ถ้าจะให้ดีช่วงที่เป็นต้นเล็กๆควรไว้ที่ร่มก่อนแล้วค่อยเอาออกแดดหรือในที่โล่งแจ้ง
ปุ๋ย ชวนชมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น นิยมใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าการให้ปุ๋ยช่วงแรกเมื่อต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยที่มีสูตร ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร15-5-5 หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 2 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนจึงเริ่มมีใบสีเขียว พร้อมที่จะออกดอกใช้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 6-24-24 ทุกๆ 2 สัปดาห์ประมาณ 45 วัน จะออดดอกชุดแรก หลังจากนั้นบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 1 เดือนต่อครั้ง และให้ธาตุอาหารเสริม เช่น minerass ที่มีธาตุโบรอน (B),แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),สังกะสี (Zn),ทองแดง ( Cu),และโมลิบดีนัม (Mo)ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง
1.หน้าดินผสมกับมะพร้าวสับและปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1: 2 : 1 ในส่วนของมะพร้าวสับถ้าเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก เราจะใช้มะพร้าวสับชิ้นเล็กแต่ถ้าต้นขนาดใหญ่ต้องใช้มะพร้าวสับที่ชิ้นใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ชิ้นเล็กจะย่อยสลายเร็ว และทำให้ดินแน่น การให้น้ำก็ให้เป็นปกติวันละครั้งไม่ให้น้ำจนน้ำแฉะมาก เพราะจะทำให้รากเน่า
2.ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกใบก้ามปูและกาบมะพร้าวสับ อัตราส่วน 1:1:2:4 ผสมให้เข้ากันสามารถใช้กับชวนชมได้ทุกขนาด
น้ำ ที่ควรใช้ควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรลดดอกเพราะจะทำให้กลีบดอกช้ำ และร่วงเร็ว ผู้ปลูกควรสังเกตการให้น้ำดังนี้
3. สภาพของต้นชวนชมถ้าขาดน้ำใบจะเหี่ยวขอบใบไหม้และร่วง ดอกมีอายุการบานสั้นและร่วงเร็วถ้าได้รับน้ำมากเกินไป รากจะเน่า โคนนิ่มทำให้ต้นเหี่ยวทั้งต้น
4. เครื่องปลูกควรปรับปรุงดินให้โปร่งด้วยกาบมะพร้าวสับหรือแกลบ เมื่อผิวดินแตกเป็นเกล็ดให้ลดน้ำจนน้ำซึมออกมาจากก้นกระถาง
5. สภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาวควรลดน้ำช่วงเช้าวันละครั้งตามปกติ แต่ในฤดูฝนควรเว้นช่วงตามความเหมาะสม การลดน้ำช่วงเช้าโดยให้น้ำละเหยก่อนถึงเย็นช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่ระบาดในสภาพความชื้นสูง แสงแดด ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ชอบแดด 100% อยู่แล้ว เพราะเป็นไม้เขตร้อน แต่ถ้าจะให้ดีช่วงที่เป็นต้นเล็กๆควรไว้ที่ร่มก่อนแล้วค่อยเอาออกแดดหรือในที่โล่งแจ้ง
ปุ๋ย ชวนชมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น นิยมใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าการให้ปุ๋ยช่วงแรกเมื่อต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยที่มีสูตร ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร15-5-5 หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 2 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนจึงเริ่มมีใบสีเขียว พร้อมที่จะออกดอกใช้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 6-24-24 ทุกๆ 2 สัปดาห์ประมาณ 45 วัน จะออดดอกชุดแรก หลังจากนั้นบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 1 เดือนต่อครั้ง และให้ธาตุอาหารเสริม เช่น minerass ที่มีธาตุโบรอน (B),แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),สังกะสี (Zn),ทองแดง ( Cu),และโมลิบดีนัม (Mo)ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ชวนชมทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การเสียบกิ่ง ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นต้น ต้นพืชที่ได้จะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการเป็นการขยายพันธุ์ที่มีวัตถุประสงค์เชิงการค้า ส่วนอีกวิธีคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการผสมเกสร ลูกผสมที่ได้จะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงในด้านรูปทรง ใบ ดอก และสี ที่แตกต่างจากต้นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ เป็นการสร้างลูกผสมใหม่ออกมาเพื่อคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีตามความต้องการของผู้ปลูกเลี้ยง
โรคและแมลงศัตรู
ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดี ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุด ป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดง จะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน
การขยายพันธุ์ชวนชมทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การเสียบกิ่ง ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นต้น ต้นพืชที่ได้จะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการเป็นการขยายพันธุ์ที่มีวัตถุประสงค์เชิงการค้า ส่วนอีกวิธีคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการผสมเกสร ลูกผสมที่ได้จะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงในด้านรูปทรง ใบ ดอก และสี ที่แตกต่างจากต้นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ เป็นการสร้างลูกผสมใหม่ออกมาเพื่อคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีตามความต้องการของผู้ปลูกเลี้ยง
โรคและแมลงศัตรู
ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดี ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุด ป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดง จะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน
สนใจกิ่งพันธุ์ชวนชมติดต่อได้ที่
คุณสมาน แก้วเหม เลขที่ 112 หมู่ 9 บ้านวังมะด่าน ตำบลวงฆ้อง
อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โทร.082-4027739
ราคากิ่งพันธุ์ ต้นละ 30 บาท มีจำหน่ายจำนวนมาก อายุต้นตั้งแต่ 6-12 เดือน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)